พระครูสุนทรกัลยาณพจน์
วัดโอกาส
|
" พระครูสุนทรกัลยาณพจน์ "
อดีตเจ้าคณะอำเภอเมืองนครพนม และอดีตเจ้าอาวาสวัดโอกาส อ.เมือง จ.นครพนม
พระเถระที่มีศิษยานุศิษย์ และพุทธศาสนิกชนให้ความเลื่อมใสศรัทธาเป็นจำนวนมาก
ประวัติพระครูสุนทรกัลยาณพจน์
อัตโนประวัติ
มีนามเดิมว่า คำพันธ์ เทพกูล เกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2454 ที่บ้านไชยบุรี
อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม โยมบิดา-มารดาชื่อ นายเฮ้า เทพกูล และนางบัว แสนสอน
ครอบครัวประกอบอาชีพทำไร่ทำนา
ชีวิตในวัยเยาว์ ขณะมีอายุได้ 14 ปี บรรรพชา
เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2468 ที่วัดไตรภูมิ ต.ไชยบุรี อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม
โดยมีพระโพธิสาร เป็นพระอุปัชฌาย์
ในช่วงเป็นสามเณร
ได้ศึกษาเล่าเรียนที่สำนักเรียนวัดโพธิ์ไชย ในตำบลบ้านเกิด
ก่อนย้ายติดตามโยมมารดาไปอยู่บ้านพันลำ อ.บึงกาฬ จ.หนองคาย
ครั้นอายุครบ 20
ปีบริบูรณ์ เข้าอุปสมบท เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2474 ณ พัทธสีมาวัดศรีบุญเรือง
อ.บึงกาฬ จ.หนองคาย มีพระครูชัยบุรยาจารย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูปลัดเมฆ
เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระครูสมุห์หา เป็นพระอนุสาวนาจารย์
หลังอุปสมบท
ท่านได้มุ่งมั่นศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมที่สำนักเรียนวัดโสภณธรรมทาน อ.บึงกาฬ
สามารถเรียนจบนักธรรมชั้นตรี-โท-เอก ตามลำดับ เมื่อปี 2482
ด้วยความเป็นพระนักเทศน์เดี่ยว เทศน์ปุจฉาวิสัชชนาและเทศน์มหาชาติ
เมื่อครั้งยังเป็นหัวหน้าพระสงฆ์ออกเผยแผ่อบรมศีลธรรมที่ จ.หนองคาย
ปัจจัยที่ได้รับจากกัณฑ์เทศน์ ท่านได้มอบบำรุงขวัญแก่ทหาร-ตำรวจ
ที่ปฏิบัติหน้าที่ในคราวเกิดสงครามอินโดจีน
และด้วยความรู้ความสามารถด้านการก่อสร้าง ตลอดจนมีความรู้ความชำนาญอักษรธรรม ลาว
ขอม และเป็นพระธรรมกถึก ความสามารถได้แพร่กระจายไปทั่ว
เมื่อปี พ.ศ.2499
ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดโอกาสได้ว่างลง ท่านจึงได้รับคำสั่งจากเจ้าคณะจังหวัดในขณะนั้น
ให้มาดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัด เนื่องจากวัดนี้เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองนครพนม
และตั้งอยู่ย่านการค้าชุมชนใจกลางเมือง
กลับปล่อยให้ล้าหลังเสมือนเป็นวัดร้างมานานกว่า 40-50 ปี
ประกอบกับได้มีพ่อค้าหัวใสได้ทำหนังสือเสนอขอให้ยุบวัด
เพื่อต้องการเอาที่ดินของวัดไปทำประโยชน์ด้านการค้า
ครั้นเมื่อ
พระครูสุนทรกัลยาณพจน์ เข้ามาอยู่วัดโอกาส
ได้พบเห็นสภาพความทรุดโทรมของวัดที่ไม่มีถาวรวัตถุอะไรเลย
จึงได้เริ่มลงมือสร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ กุฏิสงฆ์ และกำแพงรอบวัด
จัดระเบียบวินัยของพระภิกษุ-สามเณร จนเป็นผลสำเร็จยาวนานกว่า 30 ปี
กระทั่งญาติโยมในย่านนี้ซึ่งเป็นชาวไทยเชื้อสายจีน เกิดความเลื่อมใสศรัทธา
ท่านยังจัดตั้งกองทุน "สุนทรกัลยาณพจน์" เพื่อหาดอกผลบำรุงวัด
และเจียดเงินส่วนตัว บริจาคไว้เป็นทุนการศึกษาสำนักเรียนวัดมหาธาตุ
อ.เมืองนครพนม
ลำดับงานปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ.2478 เป็นเจ้าอาวาสวัดเจริญธรรม
อ.บึงกาฬ จ.หนองคาย พ.ศ.2486 เป็นเจ้าอาวาสวัดกัลยาราม ต.สามผง อ.ศรีสงคราม
จ.นครพนม เป็นเจ้าคณะตำบลสามผง เป็นพระอุปัชฌาย์
พ.ศ.2500
เป็นเจ้าอาวาสวัดโอกาส อ.เมือง จ.นครพนม พ.ศ.2518 เป็นรองเจ้าคณะอำเภอเมืองนครพนม
พ.ศ.2522 เป็นคณะอำเภอเมืองนครพนม
ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2497
ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบลชั้นตรี ในราชทินนาม
พระครูสุนทรกัลยาณพจน์ พ.ศ.2518 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร
รองเจ้าคณะอำเภอชั้นโท ในราชทินนามเดิม พ.ศ.2522
ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอชั้นโท
ในราชทินนามเดิม
พ.ศ.2527
ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอชั้นเอก
ในราชทินนามเดิม พ.ศ.2533 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร
เจ้าคณะอำเภอชั้นพิเศษ
ในราชทินนามเดิม
ในช่วงดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดเจริญธรรม
ท่านได้สร้างศาลาโรงธรรม กุฏิ 2 ชั้น 3 หลัง ปฏิสังขรณ์หอพระติ้ว-พระเทียม
พระศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองนครพนม และร่วมสร้างโรงเรียนเทศบาล 1 ตึกอาพาธสงฆ์
โรงพยาบาล เป็นต้น
พระครูสุนทรกัลยาณพจน์
เป็นสุดยอดนักปฏิมากรรม
โดยปั้นภาพนูนเรื่องรามเกียรติ์รอบผนังอุโบสถวัดโอกาส และเป็นรูปพุทธประวัติ
พระมาลัย พระเวสสันดร ทศชาติชาดก และปั้นภาพนูนต่ำเล่าเรื่องสามก๊กเป็นตอน 55 ภาพ
บนศาลาการเปรียญหลังเก่าของวัดนี้ เพื่อเตือนสติพระเณรและเป็นปริศนาธรรม
ให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษา
จนเป็นที่เล่าขานและมีผู้สนใจมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก
ในช่วงบั้นปลายชีวิต
ด้วยความไม่เที่ยงในสังขาร ท่านได้มรณภาพลงอย่างสงบ เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2537
เวลา 02.00 น. สิริอายุ 84 ปี 64 พรรษา
ทิ้งไว้แต่เพียงคุณงามความดีแห่งการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาสืบไป
ที่มา...หนังสือพิมพ์ข่าวสด คอลัมน์ อริยะโลกที่
6
ชนะ วสุรักคะ