พระเครื่อง อมูเลทตั้มศรีวิชัย ตลาดพระเครื่องรางของขลัง สวนไผ่สกลนคร หน่อไม้น้ำ หญ้าหวานอิสราเอล วันตรุษจีน2567
>...ตั้มศรีวิชัย TumAmulet ...< Thailand Amulet Charms |
คำแนะนำจากตำรวจเมื่อถูกโกง |
เงื่อนไขการรับประกัน การันตีพระเครื่อง |
สารบัญพระเครื่องเมืองนคร |
ทำเนียบพระกรุเมืองนคร |
ทำเนียบพระเครื่องเมืองนคร |
ชมรมพระเครื่อง |
บูชาพระเครื่อง เครื่องรางของขลัง Amulets Charms Talismans |
ตลาดพระ amulet for you |
เช่า-บูชา เครื่องรางของขลัง |
พระหลวงปู่ทวด วัดต่างๆ |
จตุคาม-รามเทพ หลักเมืองนคร Jatukamramtep (Jatukarm) |
หลักเมืองนครศรีธรรมราช |
จตุคาม ของดีนำมาโชว์ |
บทความ น่ารู้องค์พ่อจตุคาม |
Jatukam Amulets |
บทความจตุคามรามเทพ |
ลิงค์น่าสนใจ |
หนังสือพิมพ์ |
ลิ้งค์เพื่อนบ้าน |
เทศกาล วันสำคัญ |
ดวง ดูดวง หน้าหลัก |
บทความดีๆ |
นิทานสอนใจ |
วัฒนธรรมไทย ประเพณีไทย |
บทสวดมนต์ สำหรับชาวพุทธ |
พระเครื่อง นานาสาระ |
พระพุทธรูปสำคัญของไทย |
คาถา-อาคม พระคาถาอาคม |
พระพุทธรูปปางต่างๆ |
พุทธศาสนสุภาษิต |
ข่าวพระเครื่อง |
บทความพระเครื่อง |
Thai Buddha Amulets |
ข่าวพระพุทธศาสนา |
ข่าวเครื่องรางของขลัง |
สาระพระเครื่องไทย |
ประวัติพระวิปัสสนาจารย์ |
สวนไผ่ พันธุ์หญ้า ธนภัทรสกลนคร สินค้าเกษตรออนไลน์ ไผ่สายพันธุ์ต่างๆ ไผ่ข้าวหลามกาบแดง ไผ่ซางหม่น หน่อไม้น้ำ หญ้าหวานอิสราเอล หญ้านรกจักรพรรดิ์ หญ้าเนเปียร์ปากช่อง1 หญ้าเนเปียร์แคระ หญ้าเนเปียร์ท้ายเขื่อนซุปเปอร์ลีฟ สะสมพระเครื่อง แต่ใจรักเกษตรผสมผสาน
|
พ่อแก่ฤๅษี
ในบรรดาเหรียญยอดนิยม ในวงการนักสะสมและวงการการแสดงต่างๆ พ่อแก่ หรือ พระฤๅษี ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่คนในแวดวงศิลปะแขนงต่างๆ ล้วนนิยมเคารพนับถือบูช ความเป็นมาจากความเชื่อที่ว่า พ่อแก่หรือพระฤๅษี ได้เป็นผู้นำเอาศิลปะแขนงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการร้องรำทำเพลง หรือแม้แต่การร่ายรำ นาฏศิลป์ต่างๆ เพื่อให้เกิดความรัก ความเมตตา และความเอาใจใส่ ก่อให้เกิดความสุขแก่มวลมนุษยชนทั้งสิ้น ดังนั้น ศิลปินหรือผู้เกี่ยวข้องในศิลปะทุกแขนง จึงเคารพ พ่อแก่ หรือ พระฤๅษี เปรียบดังบรมครูคนแรกแห่งศาสตร์การแสดง เมื่อได้บูชาแล้ว จะก่อให้เกิดสิริมงคล มีความเจริญก้าวหน้าในด้านการงาน มีเสน่ห์ เมตตามหานิยมในตัว
จากตำนานคำบอกเล่า พ่อแก่, ตำนานพระฤๅษี หรือบางท่านเรียกกันว่า ครูฤๅษี ถือเป็นบรมครูแห่งศาสตร์ของการแสดง ในตำนานกล่าวไว้ว่า พระฤๅษีมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด ๑๐๘ องค์ ปางเสมอเถร ถือว่าเป็นปางที่มีฤทธิ์มากที่สุดในบรรดาทั้ง ๑๐๘ องค์ คำว่า ฤๅษี มาจากคำว่า ฤๅษิ แปลว่า ผู้เห็นด้วยความรู้พิเศษอันเกิดจากฌาน ซึ่งสามารถมองเห็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้ บางครั้งก็เรียก พ่อแก่ หรือ ฤๅษี ว่า “ตฺริกาลชฺญ” แปลว่า ผู้รู้กาลทั้งสาม ในตำราวิชาการ ต่างๆ หลายสาขา ได้บันทึกถึงฤๅษี เช่น การแพทย์แผนไทย การแสดงและการดนตรีมาเกี่ยวข้อง ดังจะเห็นว่า พวกดนตรีและนาฏศิลป์ เคารพบูชาฤๅษี แพทย์แผนโบราณก็มีรูปฤๅษีไว้บูชา ด้วยกันทั้งนั้น คนไทยเราดูจะคุ้นกับฤๅษีอยู่มาก เพราะตามพงศาวดารสมัยโบราณ หรือจดหมายเหตุเก่าๆ มักจะกล่าวถึงฤๅษี อย่างเช่น ฤๅษีวาสุเทพสุกกทันต์ กับ ฤๅษีวาสุเทพ ผู้สร้างเมืองหริภุญไชย และในคำไหว้ครูที่กล่าวถึงข้างต้น ได้ออกชื่อฤๅษีแปลกๆ หลายชื่อ ซึ่งผมเองจะขอกล่าวเท่าที่จำเป็นหากเราจะกล่าวถึง ฤๅษีที่เราได้รู้จัก และได้ยินบ่อยๆ มากที่สุดก็คงเป็นฤๅษีในบทคำไหว้ครู ที่ได้ยกมากล่าวในตอนต้น มีชื่อฤๅษีที่คุ้นหูคนไทยส่วนมากอยู่ ๓ ตนด้วยกันคือ ฤๅษีนารอด ฤๅษีตาวัว (งัว) และ ฤๅษีตาไฟ ฤๅษีทั้งสามนี้ ชาวบ้านสมัยก่อนรู้จักกันดี มักพูดถึงอยู่เสมอในตำนานพระพิมพ์ ที่ว่าจารึกไว้ในคัมภีร์ใบลานเงิน ก็ได้กล่าวถึงฤๅษีตาวัว (งัว) และฤๅษีตาไฟ ไว้ดังความว่า “ตำบลเมือง พิษณุโลก เมืองกำแพงเพชร เมืองพิไชยสงคราม เมืองพิจิตร เมืองสุพรรณ ว่ายังมีฤๅษี ๑๑ ตน ฤๅษีเป็นใหญ่ ๓ ตน ตนหนึ่ง ฤๅษีพีลาไลย ตนหนึ่งฤๅษีตาไฟ ตนหนึ่งฤๅษีตางัว เป็นประธานแก่ฤๅษีทั้งหลาย จึงปรึกษากันว่า เราท่านทั้งหลายนี้จะเอาอันใดให้แก่ พระยาศรีธรรมาโศกราช ฤๅษีทั้ง ๓ จึงกล่าวแก่ฤๅษีทั้งปวงว่า เราจะทำฤทธิ์ด้วยเครื่องประดิษฐานเงินทองไว้ ฉะนี้ ฉลองพระองค์ จึงทำเป็นเมฆพัตร อุทุมพร เป็นมฤตย์พิศม์ อายุวัฒนะ พระฤๅษีประดิษฐานไว้ในถ้ำเหวใหญ่น้อย เป็นอานุภาพแก่มนุษย์ทั้งหลาย สมณชีพราหมณาจารย์เจ้าไปถ้วน ๕,๐๐๐ พรรษา พระฤๅษีองค์หนึ่งจึงว่า แก่ฤๅษีทั้งปวงว่า ท่านจงไปเอาว่านทั้งหลายอันมีฤทธิ์ เอามาให้สัก ๑,๐๐๐ เก็บเอาเกสรไม้อันวิเศษ ที่มีกฤษณาเป็นอาทิ ให้ได้ ๑,๐๐๐ ครั้นเสร็จแล้ว ฤๅษีจึงป่าวร้องเทวดาทั้งปวง ให้ช่วยกันบดยา ทำเป็นพระพิมพ์ไว้สถานหนึ่ง ทำเป็นเมฆพัตรสถานหนึ่ง ฤๅษีทั้ง ๓ องค์นั้น จึงบังคับฤๅษีทั้งปวงให้เอาว่านทำเป็นผง เป็นก้อน ประดิษฐานด้วยมนต์คาถาทั้งปวง ให้ประสิทธิทุกอัน จึงให้ฤๅษีทั้งนั้น เอาเกสรและว่านมาประสมกันดี เป็นพระให้ประสิทธิแล้ว ด้วยเนาวหรคุณประดิษฐานไว้บนเจดีย์อันหนึ่ง ถ้าผู้ใดให้ถวายพระพรแล้ว จึงเอาไว้ใช้ตามอานุภาพเถิด ให้ระลึกถึงคุณพระฤๅษีที่ทำไว้นั้นเถิด” ฤๅษีตาวัว นั้นเดิมทีเป็นสงฆ์ตาบอดทั้งสองข้าง แต่ชอบเล่นแร่แปรธาตุ จนสามารถทำให้ปรอทแข็งได้ แต่ยังไม่ทันใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างไร ก็เอาไปทำหล่นตกถาน (ส้วมของพระตามวัด) เสีย จะหยิบเอามาก็ไม่ได้ เพราะตามองไม่เห็น เก็บความเงียบไว้ ไม่กล้าบอกใคร จนกระทั่งวันหนึ่ง ลูกศิษย์ไปถาน แลเห็นแสงเรืองๆ จมอยู่ใต้ถาน ก็กลับมาเล่าให้อาจารย์ฟัง หลวงตาดีใจ บอกให้ศิษย์พาไป เห็นแสงเรืองตรงไหนให้จับมือจุ่มลงไปตรงนั้น จะเลอะเทอะอย่างไรช่างมัน ศิษย์กลั้นใจทำตาม หลวงตาก็ควักเอาปรอทคืนมาได้ จัดแจงล้างน้ำให้สะอาดดี แล้วก็แช่ไว้ในโถน้ำผึ้ง ที่ท่านฉัน ไม่เอาติดตัวไปไหนอีก เพราะกลัวจะหล่นหายอยู่มาวันหนึ่ง ท่านก็มารำพึงถึงสังขาร ว่าเราจะมานั่งตาบอดอยู่ทำไม มีของดีของวิเศษอย่างนี้แล้ว ก็น่าจะลองดู จึงให้ศิษย์ไปหาศพคนตายใหม่ๆ เพื่อจะควักเอาลูกตา แต่ลูกศิษย์หาศพคนตายใหม่ๆ ไม่ได้ ไปพบวัวนอนตายอยู่ตัวหนึ่ง เห็นเข้าท่าดี ก็เลยควักลูกตาวัวมาแทน หลวงตาจึงเอาปรอทที่แช่น้ำผึ้งไว้มาคลึงที่ตา แล้วควักเอาตาเสียออก เอาตาวัวใส่แทน แล้วเอาปรอทคลึงตามหนังตา ไม่ช้าตาทั้งสองข้างก็กลับเห็นดีดังธรรมดา แล้วหลวงตาก็สึกจากพระ เข้าถือเพศเป็นฤๅษี จึงได้เรียกกันว่า ฤๅษีตาวัว มาตั้งแต่นั้น อย่างไรก็ตาม ฤๅษีทั้งสองนี้ ถือเป็นเพื่อนสนิท และได้สร้างกุฎีอยู่ใกล้กันบนเขาใกล้เมืองศรีเทพ มีอะไรก็บอกให้รู้ ไม่ปิดบัง วันหนึ่ง ฤๅษีตาไฟได้เล่าให้ศิษย์คนนี้ฟังว่า น้ำในบ่อสองบ่อที่อยู่ใกล้กันนั้น มีฤทธิ์อำนาจไม่เหมือนกัน น้ำในบ่อหนึ่ง เมื่อใครเอามาอาบก็จะตาย และถ้าเอาน้ำอีกบ่อหนึ่งมารดก็จะฟื้นขึ้นมาได้อีก ศิษย์ไม่เชื่อว่า จะเป็นไปได้ ฤๅษีตาไฟจึงบอกว่า จะทดลองให้ดูก็ได้ แต่ต้องให้สัญญาว่า ถ้าตนตายไปแล้ว ต้องเอาน้ำอีกบ่อหนึ่งมารดให้คืนชีวิตขึ้นใหม่ ศิษย์ก็รับคำ ฤๅษีตาไฟจึงเอาน้ำในบ่อตายมาอาบ ฤๅษีก็ตาย ฝ่ายศิษย์เห็นเช่นนั้นแทนที่จะทำตามสัญญา กลับวิ่งหนีเข้าเมืองไปเสีย ด้วยเหตุที่ฤๅษีตาวัว ซึ่งเคยไปมาหาสู่ฤๅษีตาไฟอยู่เสมอ เมื่อเห็นฤๅษีตาไฟหายไปผิดสังเกตเช่นนั้นก็ชักสงสัย จึงออกจากกุฎีมาตาม เมื่อเดินผ่านบ่อน้ำตาย เห็นน้ำในบ่อผิดปกติ ก็รู้ว่าเกิดเหตุร้ายขึ้นแล้ว เมื่อเดินต่อไปอีกก็พบซากศพของฤๅษีตาไฟ ฤๅษีตาวัวจึงตักน้ำอีกบ่อหนึ่งมาราดรด ฤๅษีตาไฟก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมา แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฤๅษีตาวัวฟัง และว่าจะต้องแก้แค้นศิษย์ซึ่งเป็นลูกเจ้าเมืองศรีเทพ ตลอดจนประชาชนพลเมืองทั้งหมดอีกด้วย ฤๅษีตาวัว ก็ปลอบว่าอย่าให้มันรุนแรงถึงอย่างนั้นเลย ฤๅษีตาไฟก็ไม่เชื่อฟังได้เนรมิตวัวขึ้นตัวหนึ่ง เอาพิษร้ายบรรจุไว้ในท้องวัวจนเต็ม แล้วปล่อยวัวกายสิทธิ์ให้เดินขู่คำรามด้วยเสียงกึกก้อง รอบเมืองทั้งกลางวันกลางคืน แต่เข้าเมืองไม่ได้ เพราะทหารรักษาประตูปิดประตูไว้ พอถึงวันที่เจ็ด เจ้าเมืองเห็นว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็สั่งให้เปิดประตูเมือง วัวกายสิทธิ์คอยทีอยู่แล้ว ก็วิ่งปราดเข้าเมืองทันที จากนั้นท้องวัวก็ระเบิดออก พิษร้ายกระจายพุ่งออกมาทำลายผู้คนพลเมืองตายหมด เมืองศรีเทพก็เลยร้างมาแต่ครั้งนั้น ถ้าว่าตามเรื่องที่เล่ามานี้ ฤๅษีตาวัวก็ดูจะใจดีกว่าฤๅษีตาไฟ และคงจะเป็นด้วยฤๅษีตาวัวเป็นผู้ช่วยให้ฤๅษีตาไฟฟื้นคืนชีพขึ้นมานี่เอง ทำให้ทางฝ่ายแพทย์แผนโบราณจึงได้ถือเป็นครู ส่วนทางฝ่ายทหารออกจะยกย่องฤๅษีตาไฟ ดังมีมนต์บทหนึ่งกล่าวไว้ในตำราพิชัยสงครามว่า “ขอพระศรีสุทัศน์ เข้ามาเป็นดวงใจ พระฤๅษีตาไฟ เข้ามาเป็นดวงตา” ข้อมูลนี้ผมได้รวบมาจากหลายที่ เนื้อเรื่องอาจผิดพลาดบ้างก็ได้ |