พ.ต.อ.รศ.ดร.พนาเจือเพชร แขวนเดี่ยว เหรียญเสมา25พุทธศตวรรษ 

เป็นอีก “คนดังตัวจริง” เพราะเมื่ออดีตสมัยยังรับราชการเป็น “สวป.สน.มักกะสัน” เคยคว้ารางวัล “นายตำรวจดีเด่น” จากการปราบปรามมิจฉาชีพรวมทั้งสามารถจับ “คนร้าย” คดีข่มขืนและฆ่า “นักเรียนหญิง” ในท้องที่ “สน. มักกะสัน” แบบไม่ทันข้ามคืนที่ตกเป็นข่าว “ครึกโครม” เมื่อร่วม 20 ปีก่อนเพราะฝีมือการ “สืบสวนสอบสวนยอดเยี่ยม” นั่นเอง “คนดังตัวจริง” ผู้นี้ไม่ใช่ใครอดีตเป็น “นายตำรวจมือปราบนคร บาล” ที่ชื่อ “รศ.ดร.พนาเจือเพชร กฤษณะราช” ที่ระยะหลังหันมาเอาดีทางด้านการ “เรียน” สามารถคว้า “ปริญญาเอก” ให้ผองเพื่อนเรียกขานว่าท่าน “ดอกเตอร์” พร้อมก้าวเป็น “รองศาสตราจารย์” จากนั้นจึงหันเหสู่อาชีพ “นักการเมือง” ที่ประสบทั้งความสมหวังและผิดหวังควบคู่กันไปเนื่องจาก “เล่ห์เหลี่ยม” การเล่นการเมืองยังอยู่ในระดับ “น้องใหม่” อีกทั้งเป็น “คนตรงคนซื่อ” เกินไปจึงโดนนักการเมือง “ฝ่ายตรงข้าม” ที่เคยเป็น “เพื่อนรัก” กันมาก่อนอาศัยความแพรวพราวและชั้นเชิงที่ต้องเรียกว่า “ร้อยลิ้นกะลาวน” ถล่มแบบปั้นน้ำเป็นตัว เลยโดนท่าน “รศ.ดร.พนาเจือเพชร” ใช้กฎหมายเข้าสยบจึงยุติการถูกใส่ร้ายป้ายสี แบบไร้ความจริงไปได้

เรียกว่าเป็น “มือปราบแท้ ๆ” แต่ยามมีปัญหาแทนที่จะใช้ “ฝีมือของมือปราบ” เข้าสยบฝ่ายตรงข้ามกลับอาศัย “กฎหมายแทน” ก็เพราะนี่ละคือ “นักการเมืองน้ำดี” แห่งเมืองระยองที่ชื่อ “รศ.ดร.พนาเจือเพชร” ที่ประเทศไทยยังขาดแคลน “บุคคลประเภทนี้” มากมายนักการเมืองไทย จึงยังคงแตกเป็นฝักเป็นฝ่าย สร้างความวุ่นวายให้แผ่นดินที่ตัวเอง “อาศัย” ไม่รู้จบ นอกจากนี้ “รศ.ดร.พนาเจือเพชร” ยังเป็นนักอนุรักษ์ “วัตถุโบราณ” พร้อม “พระเครื่อง” ตัวยงอีกด้วยทั้งนี้ก็เพราะเป็นชาวพุทธ โดยสายเลือดแล้ว “คุณพ่อ” ก็เป็น “รั้วของชาติ” ที่ออกสนามรบปกป้องประเทศชาติมาก่อนจึงทำการ “สะสมพระเครื่อง” เพื่อเป็น “ขวัญและกำลังใจ” ในช่วงออกสู่สนามรบกระทั่งพอมีทายาทชื่อ “รศ.ดร.พนาเจือเพชร” คุณพ่อจึงนำพระเครื่องที่สะสมไว้ให้ “ลูกชาย” แขวนตั้งแต่ยังเป็นเด็กโดยสมัยนั้นคุณพ่อให้แขวน “เหรียญเสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์” พอโตเป็นหนุ่มเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาก็เปลี่ยนเป็น “พระหลวงปู่ทวด” และ “ลีลาเม็ดขนุน” มาแขวนซึ่งจากการที่ได้แขวนพระเครื่องมาตั้งแต่เด็กนี้เอง “รศ.ดร. พนาเจือเพชร” จึงมีความศรัทราพระเครื่องเรื่อยมากระทั่งเติบใหญ่สำเร็จการศึกษาวิชา “นายตำรวจรุ่น 29” แล้ว ก็เข้ารับราชการเป็น “นายตำรวจ” เรื่อยมาและจากการรับราชการเป็น “นายตำรวจ” ที่ต้องออกปราบปรามเหล่า “มิจฉาชีพ” มาตลอดนี่เองชีวิตจึง “เสี่ยงภัย” อยู่บ่อยครั้งแต่ก็อาศัยที่ได้ “แขวนพระ” เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจึงทำให้ชีวิตของ “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” รอดพ้นจากการถูกโจรยิง ก็หลายครั้งอีกทั้งหลายหนที่ต้องเดินทางด้วยรถยนต์เพื่อไล่ “จับโจร” ที่หนีออกต่างจังหวัดจึงต้องขับรถเองทั้งกลางวันกลางคืน แต่ก็ไม่เคยประสบอุบัติเหตุใด ๆ จึงเชื่อว่า “พระในคอ” ช่วยคุ้มครอง

และเมื่อบังเกิดความเชื่อเฉกเช่น “ลูกผู้ชายไทยพุทธ” ทั่วไปแล้วยามว่างจากราชการจึงทำการเสาะหา “พระยอดนิยม” มาทำการสะสมซึ่งแรก ๆ ก็ตั้งใจว่าจะสะสมไม่กี่องค์ แต่พอเอาเข้าจริงปัจจุบันสะสม “พระเบญจภาคี” แบบครบชุดถึง “3 ชุดด้วยกัน” นอกจากนั้นก็สะสมทั้ง “พระกรุ, พระคณาจารย์” ที่นับรวมกันแล้วก็ประมาณ “กว่าร้อยองค์” โดยเฉพาะ “หลวงปู่ทวดวัดช้างให้” จะสะสมมากที่สุดและ แทบทุกรุ่นอีกด้วย และนอกจากสะสมแล้วก็จะทำการอาราธนาแบบ “หมุนเวียน” เพราะพระเครื่องแต่ละองค์ก็มีพุทธคุณพร้อมคุณค่าแตกต่างกันไปปัจจุบันแขวน “เหรียญเสมา 25 พุทธศตวรรษเนื้อเงิน” เนื่องจากมีผู้เคารพนับถือมอบเป็น “ของขวัญ” อีกทั้งทราบดีอยู่ก่อนแล้วว่าพระเครื่องชุด “25 พุทธศตวรรษ” นี้เป็นพระเครื่องที่ “เจตนาการสร้าง” พร้อมพิธีสร้างและพิธีปลุกเสก ถือเป็นพิธีที่ยิ่งใหญ่ อีกรุ่นของวงการสร้างพระในเมืองไทยทุกอย่างจึงอุดมไปด้วย “ความเป็นมงคล” ซึ่งปัจุบันราคาก็ยังไม่แพงอีกทั้งตั้งแต่แขวนเดี่ยวมาแล้ว “ชีวิตก็ดีขึ้นเป็นลำดับ” และที่สำคัญหลังจากแขวนท่านมาแล้ว “ชนะศัตรูหมู่มาร” ได้ทุกเรื่องเรียกว่าใครผู้ใด “คิดร้าย” กับเราแล้วมักมีอันเป็นไปเองโดยที่ไม่ ต้องไปทำอะไรเขาเลยฉะนั้นจึงขอย้ำว่าเรื่องของ “พุทธคุณของคุณพระ” นี้มีจริงเพียงแต่ท่านจะปกป้องคุ้มครองเฉพาะ “ผู้ประพฤติดีประพฤติชอบ” หากประพฤติเหลวแหลกแล้ว “พระท่านไม่ช่วย” หากไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ก็แล้วกัน...นั่นก็คืออีกทรรศนะ การแขวนพระของ “คนดังวันนี้” รศ.ดร.พนาเจือ เพชร กฤษณะราช.