ปางพระพุทธรูป คือ ลักษณะของพระพุทธรูป ทำตามพระมหาปุริสลักษณะ ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา แบ่งได้ตามแหล่งและยุคในประวัติศาสตร์ ดังนี้
แคว้นคันธาระ มี ๙ ปาง อินเดีย มี ๗ ปาง ลังกา มี ๕ ปาง ทราราวดี มี ๑๐ ปาง ศรีวิชัย มี ๖ ปาง ลพบุรี มี ๗ ปาง เชียงแสน มี ๑๐ ปาง สุโขทัย มี ๘ ปาง อยุธยา มี ๗ ปาง รัตนโกสินทร์ มี ๕ ปาง
ปัจจุบัน มีพระพุทธรูปต่างๆ เพิ่มขึ้นอีก รวมแล้วมากกว่า ๗๒ ปาง
อย่างไรก็ตาม ครั้งหนึ่ง พระพุทธรูปปางพระเกศธาตุ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ปางตะเบ๊ะ เป็นข่าวที่เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ถึงขนาดที่ว่า นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ขณะที่เป็นผู้ว่าฯ กทม. ออกมาด่าผ่านรายการโทรทัศน์ว่า เป็นการลบหลู่ศาสนา ทีมงานไม่มีความรู้
ในขณะที่ นายพยัพ คำพันธุ์ นายกสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย บอกว่า ผมสะสมพระมาตั้งนาน ผมไม่เคยเห็นพระปางตะเบ๊ะนี้เลยสักครั้ง
ในที่สุด เรื่องก็จบลง เพราะเป็นปางพระพุทธรูปที่มีอยู่จริง ตามพุทธประวัติ
แต่ก็ยังมีพระพุทธรูปอีกปางหนึ่ง ที่น่าจะตกเป็นข่าวเช่นกัน คือ พระปิดหู เป็นพระพุทธรูปปางแปลก แตกต่างไปจากพระพุทธรูปที่เคยเห็นโดยทั่ว ซึ่งประดิษฐานอยู่บริเวณลานอเนกประสงค์ หน้าทางเข้า วัดดอนเจดีย์ หมู่ ๕ ต.ดอนเจดีย์ อ.ดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี ซึ่งชาวเมืองสุพรรณ พากันแห่กราบไหว้พระ "ปิดเคราะห์" องค์นี้อยู่เสมอ
ความศักดิ์สิทธิ์ของ หลวงพ่อปิดเคราะห์ นั้น ผู้ที่มากราบไหว้มีคติความเชื่อว่า ท่านมีความเมตตาสูงมาก ไม่ว่าใครก็ตาม หากกำลังเผชิญกับปัญหา หรือทุกข์ภัยหนักหน่วงแค่ไหน เมื่อเดินทางมากราบไหว้ขอพรจากองค์หลวงพ่อก็มักจะได้รับความเมตตา โดยท่านจะดลบันดาลให้สิ่งที่ต้องการนั้นสมมาดปรารถนาอยู่เสมอ
เมื่อประชาชนที่มากราบไหว้ขอพรจากท่านสัมฤทธิผล ก็จะพากันนำข้าวของเครื่องไหว้มาแก้บน โดยสิ่งที่องค์หลวงพ่อพระกาฬโปรดปรานมากที่สุดก็คือ ข้าวเหนียวมูน และ กล้วยหอมสุก ซึ่งทั้งสองอย่างนี้จะมีผู้คนนำมาถวายให้ไม่เคยขาด
พระครูวิบูลเจติยานุรักษ์ (ประไพ ปุญญกาโม ปธ.๓ ม) เจ้าอาวาสวัดดอนเจดีย์ และเจ้าคณะตำบลดอนเจดีย์ เล่าให้ฟังว่า ผู้ที่สร้างพระปิดหู คือ พระวิบูลเมธาจารย์ หรือ หลวงพ่อเก็บ ภทฺทิโย อดีตเจ้าอาวาสวัดดอนเจดีย์รูปแรก น่าจะสร้างหลังปี ๒๕๐๑ เพราะหลวงพ่อเก็บมาเป็นเจ้าอาวาสเป็นปีแรก เดิมที่ประดิษฐานอยู่ด้านทิศตะวันออกของศาลาวัด เมื่อมีการบูรณะวัดก็ย้ายมาอยู่บริเวณหน้ากุฏิเจ้าอาวาส
พุทธลักษณะโดยรวมของพระพุทธรูปองค์นี้ เป็นพระพุทธรูปนั่งขัดสมาธิ มือทั้ง ๒ ด้านปิดที่หูไว้ หลับตาสองข้าง ซึ่งมีลักษณะแปลกกว่าพระพุทธรูปโดยทั่วไป ชาวบ้านเรียกพระพุทธรูปปิดหูองค์นี้ว่า หลวงพ่อปิดเคราะห์ หรือ พระพุทธปริศนาธรรมมงคล เป็นปูนปั้น ทาสีทอง สูงประมาณ ๑.๕๐ เมตร กว้างกว่า ๖๐ เซนติเมตร และมีองค์เล็กจำลองอีก ๑ องค์ สูงประมาณ ๔ นิ้ว กว้าง ๒ นิ้ว ตั้งอยู่ที่บริเวณด้านหน้า ที่บริเวณฐานด้านล่างเป็นรูปทรงกลมคล้ายท่อน้ำ เป็นฐานรอง เขียนข้อความด้านล่างว่า
ปิดหูเป็นบางครา หลับตาเป็นบางคราว ไม่พูดบางเรื่องราว สุขกายสบายใจ
"การสร้างพระปิดหู ไม่เกี่ยวข้องกับประวัติพุทธศาสนาตอนใด เข้าใจว่าหลวงพ่อเก็บต้องการที่จะสื่อธรรมถึงญาติโยมที่ว่า กิเลสนั้นเข้าได้หลายทาง หู และตา ถือว่าเป็นช่องทางสำคัญที่กิเลสเข้าได้ง่ายที่สุด การปิดหูและหลับตา เท่ากับเป็นการปิดช่องทางของกิเลส และเพื่อให้คนเข้าใจปริศนาธรรมมากขึ้น จึงเขียนข้อความเป็นภาษาไทย ไว้ที่บริเวณหน้าฐานพระไว้ด้วยว่า ปิดหูเป็นบางครา หลับตาเป็นบางคราว ไม่พูดบางเรื่องราว สุขกายสบายใจ" พระครูวิบูลเจติยานุรักษ์ กล่าว
"เท่าที่ทราบ ยังมีพระพุทธรูปปิดหูอีกองค์หนึ่ง สร้างจากเนื้อทองเหลือง และมีขนาดใหญ่กว่าของวัดดอนเจดีย์ ประดิษฐานอยู่ที่วัดละครทำ ย่านพรานนก กรุงเทพฯ เพราะในช่วงที่อดีตเจ้าอาวาสทั้ง ๒ วัด ยังมีชีวิตอยู่ ท่านไปมาหาสู่กันเป็นประจำ แต่ไม่แน่ใจว่า วัดใดสร้างขึ้นก่อน" พระครูวิบูลเจติยานุรักษ์ กล่าว
พระพุทธเจ้าเข้านิพพาน
พระพุทธเจ้าเข้านิพพาน ซึ่งประดิษฐานอยู่ในพระวิหารพระพุทธเจ้าเข้านิพพาน ทางทิศใต้ของพระวิหารคดรอบพระวิหาร พระพุทธชินราช (หน้าประตูทางเข้าวิหารพระศรีศาสดา) จ.พิษณุโลก ถือว่าเป็นพระพุทธรูปอีกปางหนึ่งที่แปลกตากว่าพุทธรูปทั่วไป คือ มีพุทธลักษณะเป็นหีบทอง บรรจุพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า ทำด้วยศิลา ขนาดกว้าง ๔๖ เซนติเมตร ยาว ๑๖๐ เซนติเมตร สูง ๔๕ เซนติเมตร
ที่ปลายหีบพระบรมศพ มีพระบาททั้งคู่ยื่นออกมา โดยมีรูปปูนปั้นลงรักปิดทองของพระมหากัสสปเถระ และพระอรหันตสาวก รวม ๕ องค์ นั่งนมัสการพระบรมศพ ทางด้านหน้า ด้านหลังและด้านท้าย รอบๆ จิตกาธาน
พระพุทธรูปปางนี้ สร้างตามพุทธประวัติตอนที่ว่า เมื่อพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน ในรุ่งอรุณวันเพ็ญเดือน ๖ ขณะพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา ที่ใต้ต้นไม้สาละ คู่เมืองกุสินารา มัลลกษัตริย์ แห่งกุสินารา ทรงจัดการพระพุทธสรีระ ห่อด้วยทุกูลพัสตร์ภูษาผ้าเนื้อดี ๕๐๐ ชั้น แล้วอัญเชิญลงหีบทอง ที่เต็มด้วยน้ำมันหอม และถวายพระเพลิงโดย มัลลกษัตริย์ ๔ พระองค์ ชำระกายให้บริสุทธิ์ แต่งเครื่องทรงชุดใหม่ นำเพลิงเข้าไปจุดที่พระจิตกาธานทั้ง ๔ ทิศ ณ มกุฎพันธเจดีย์ ด้านทิศตะวันออกของพระนคร แต่ไม่สามารถจุดติดได้ ทั้งๆ ที่เป็นเชื้อเพลิงอย่างดี พระอนุรุทธเถระ จึงแจ้งให้มัลลกษัตริย์ ทราบว่า
"มหาบพิตร เทพยดาทั้งหลายมีความประสงค์จะรอคอยท่านพระมหากัสสปเถระ พระสาวกผู้ใหญ่ก่อน เพื่อให้ท่านถวายบังคมพระยุคลบาทของพระศาสดา ถ้าพระมหากัสสปะยังมิได้ถวายนมัสการตราบใด เพลิงจะจุดไม่ติดตราบนั้น"
เมื่อพระมหากัสสปะเถระ มาถึงแล้วเข้าไปยังจิตกาธาน กระทำประทักษิณเวียนสามรอบ แล้วยืนอภิวาททางเบื้องพระบาท แล้วตั้งจิตอธิษฐาน กราบทูลว่า "ข้าแต่พระบรมครู ข้าพระพุทธเจ้าผู้ชื่อว่า มหากัสสปะ เป็นสาวกที่พระพุทธองค์ทรงตั้งไว้ในตำแหน่งผู้เลิศทางธุดงค์ในกาลเบื้องต้น พระพุทธองค์ทรงประทานบรรพชาอุปสมบทให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า แล้วประทานเปลี่ยนผ้ามหาบังสุกุลที่ทรงพิจารณาจากศพนางปุณณทาสีให้ร่วมใช้กับพระพุทธองค์ ข้าพระพุทธเจ้าคือกัสสปะเพียงผู้เดียวนี้ อนึ่ง คำกราบทูลของข้าพระองค์นี้ เป็นความสัตย์จริง ขอให้พระบาททั้งสองของพระองค์จงออกมาจากหีบทองรองรับการอภิวาทของข้าพระบาทในกาลบัดนี้เถิด"
สิ้นคำกราบทูลประหนึ่งว่า พระพุทธองค์ทรงรับทราบคำกราบบังคมทูล ก็บันดาลพระบาททั้งคู่ ทำลายผ้าที่หุ้มห่อพระพุทธสรีระทั้ง ๕๐๐ ชั้น และทำลายหีบทองออกมาปรากฏภายนอกดุจดวงพระอาทิตย์ พ้นจากกลีบเมฆออกมาปรากฏอยู่ดูน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก จึงเป็นที่มาของพระปางนี้