วัดเทพมณเฑียร เสาชิงช้า กรุงเทพฯ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2468 ภายใต้สมาคมฮินดูสมาช เมื่อปี พ.ศ.2493 โดยหลักใหญ่ของสมาคมจะยึดมั่นอยู่กับคำสอนของศาสนาพราหมณ์ฮินดู โดยกิจกรรมสำคัญประการหนึ่งของสมาคมซึ่งได้ยึดถือปฏิบัติกันเรื่อยมา คือการนัดชุมนุมกันในเวลากลางคืนของทุกวันจันทร์ นอกจากสวดมนต์และขับร้องเพลงถวายพระเจ้าแล้ว ก็มีการอ่าน และบรรยายความหมายของคำสอนในคัมภีร์ภควัทคีตา บางครั้งก็มีการอ่านบทความว่าด้วยเรื่องราวทางศาสนา หรือวัฒนธรรม

นอกจากนี้ยังมีการเชิญผู้ทรงคุณวุฒิวิทยาคุณจากประเทศอินเดียมาแสดงปาฐกถาให้ผู้ชุมนุมฟัง พร้อมทั้งการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันด้วย ต่อมาในปี พ.ศ.2482 ได้มีการตั้งโรงเรียนภารตวิทยาลัย มีการสอนภาษาฮินดี และภาษาอังกฤษ ให้เยาวชนอินเดียเป็นพิเศษในเวลากลางคืน พิธีกรรมภายในวัดเทพมณเฑียรในแต่ละวัน เรียกว่า "พิธีอารตี" จะมีการจัดพิธีบูชาประจำวัน ตั้งแต่ 06.00-08.00 น. (ในวันอาทิตย์ มีจนถึง 10.00 น. หรือ 11.30 น.) และตอนเย็นตั้งแต่เวลา 18.30-19.30 น. ทุกๆ วัน ใครมีศรัทธาก็มาเข้าร่วมพิธีกรรมได้โดยไม่ต้องขออนุญาต แต่ถ้านอกเวลาดังกล่าวนี้ต้องขอนัดเวลาไว้ล่วงหน้า เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้มาคอยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้มาเข้าชมสถานที่ "วัดเทพมณเฑียร" มีเทวรูปสำคัญประดิษฐานอยู่หลายองค์ด้วยกัน อาทิ "พระแม่ทุรคา"สัญลักษณ์แห่งความเข้มแข็งและความมีอำนาจ พระพุทธเจ้าชาวพราหมณ์ฮินดูถือว่าเป็นอวตารปางที่เก้าของพระนารายณ์ สัญลักษณ์แห่งความไม่เบียดเบียน (อหิงสา) พระราม และ ภควดีสีดา (พระราม และพระแม่สีดา) พระรามเป็นอวตารปางที่เจ็ดของพระนารายณ์ (พระวิษณุ) สัญลักษณ์แห่งศาสนา ให้แสงสว่างแก่มนุษยโลก

"หนุมาน"เป็นอวตารของพระศิวะ เพื่อคุ้มครองดูแลพระราม พระนารายณ์ และพระแม่ลักษมี (พระวิษณุ และพระลักษมี) เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ สัญลักษณ์แห่งการรักษาความดี และต่อสู้อธรรม ถือว่าเป็นผู้ปกครองและบริหารโลก พระพิฆเนศวร (พระคเณศ)ั้เป็นโอรสของพระอิศวรและพระแม่อุมา ได้ชื่อว่าเป็นเทพเจ้าแห่งความสมบูรณ์ ความสำเร็จ และยังมีอีกหลายองค์ที่ชาวฮินดูและชาวไทยให้ความเคารพนับถือ ย้อนหลังไปเมื่อหลายปีก่อนได้เกิดปรากฏการณ์มหัศจรรย์ขึ้น เมื่อเทวรูปของชาวฮินดู "ดื่มนม" จากผู้ที่นำมาถวาย ต้นเหตุของข่าวเกิดขึ้นที่ประเทศอินเดีย แล้วลุกลามไปทั่วโลก แม้แต่ในประเทศไทยเอง ซึ่งในขณะนั้น ประชาชนที่ทราบข่าวก็พากันแห่มาที่วัดเทพมณเฑียรจนมืดฟ้ามัวดิน เพื่อพิสูจน์ความจริง ปรากฏว่า "น้ำนมหายไปจริง" พร้อมกับมีการพิสูจน์จากกรมทรัพยากรธรณี และหน่วยงานของรัฐอีกหลายแห่ง แม้แต่สื่อมวลชนก็นำเสนอข่าวกันอย่างครึกโครม

ในด้านวิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าน้ำนมหายไปได้อย่างไรโดยไม่ทิ้งร่องรอยหรือคราบใดๆ ไว้ แต่ในด้านศาสนามีคำอธิบายจากท่านเจ้าอาวาสวัดเทพมณเฑียรในขณะนั้นว่า มนุษย์เราเรียกร้องเอาจากเทพเจ้ามามากแล้ว ท่านก็เลยมาเตือนว่าต้องคืนท่านบ้าง กับอีกประการหนึ่ง ผู้คนในยุคปัจจุบันเริ่มเหินห่างจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บางคนก็ไม่เชื่อถือ ไม่มีศรัทธาต่อเทพเจ้าอีกต่อไป ท่านจึงลงมาเตือนเพื่อบอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นมีอยู่จริง และไม่อาจลบหลู่ดูหมิ่นได้ นับตั้งแต่มีการจัดสร้างวัดเทพมณเฑียรขึ้นมา ไม่เคยมีปรากฏว่าทางวัดได้จัดพิธีกรรมทางด้านการปลุกเสกวัตถุมงคลเลย จนถึงปัจจุบัน ด้วยเหตุแห่งความศรัทธาของคณะผู้จัดสร้าง "พระพิฆเนศ รุ่นพลังทิพย์" คือมูลนิธิ เจ.อาร์.มายาเดวี โครานา ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนกิจกรรมของสมาคมฮินดูสมาชมายาวนาน ได้ตั้งวัตถุประสงค์ขึ้นมาอย่างชัดเจนว่าต้องการนำปัจจัยที่ได้จากการบูชาวัตถุมงคล ไปช่วยเหลือด้านการศึกษาให้กับเด็กด้อยโอกาส ทั้งในด้านวัสดุอุปกรณ์ อาคารสถานที่ รวมทั้งทุนการศึกษา และอื่นๆ รวมทั้งบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ต่างๆ เพื่อสังคมส่วนรวม ทางวัดจึงได้อนุญาตให้มีการจัดพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลชุดนี้ขึ้นเป็นกรณีพิเศษ ในวันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา 08.32 น.

"วันนั้นจะมีพิธีปลุกเสกพร้อมกันทั้ง 3 พิธี คือ ฝ่ายพุทธจะนิมนต์พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง 5 รูป มานั่งปรกปลุกเสก พระสงฆ์ 9 รูป เจริญชัยมงคลคาถาตลอดพิธี พิธีพราหมณ์จากโบสถ์พราหมณ์ และพิธีพราหมณ์ของวัดเทพมณเฑียรเอง โดยจะประกอบพิธีทั้ง 3 ขึ้นในเวลาเดียวกัน ซึ่งจะเกิดพลังที่แรงมาก" "กมเลศ กุมารี" ผู้อำนวยการฝ่ายวัฒนธรรม สมาคมฮินดูสมาช กล่าวถึงพิธีกรรมการปลุกเสกที่กำหนดขึ้นในวันดังกล่าว พร้อมกับขยายความว่า ปกติเวลาประกอบพิธีปลุกเสกที่ไหน มักจะเรียงตามลำดับพิธีไป แต่การปลุกเสกพระพิฆเนศ รุ่นพลังทิพย์ ถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่มีการปลุกเสกพร้อมกันทั้ง 3 พิธี ผู้ประสงค์มาเที่ยวชมวัดเทพมณเฑียร หรือเข้าร่วมพิธีสอบถามรายละเอียดได้ที่โทร.0-2246-2520-1 และสำหรับผู้ที่มาเข้าร่วมพิธีในวันดังกล่าวจะได้รับวัตถุมงคลฟรี