ReadyPlanet.com


จับกระแสที่สุดแห่งปี 2551


จับกระแสที่สุดแห่งปี 2551 "โอกาสในวิกฤต และความท้าทาย"
ปี 2551 ที่ผ่านมาจึงเป็นยุคทองของ มือถือ "เฮาส์แบรนด์" อย่างแท้จริง

ที่มา...http://www.matichon.co.th/prachachat/


เร็ว เหมือนติดปีก สำหรับปีชวด 2551 แต่หลายคนคงรู้สึกโล่งอกที่ ปีนี้จบลงได้ เพราะมีแต่เหตุการณ์ชวนเสียวไส้ตั้งแต่เรื่องปากท้องไปจนถึงการบ้านการเมือง ไม่กระทบถึงภาคธุรกิจย่อมเป็นไปไม่ได้

ในวงการธุรกิจไอซีที ที่ผ่านมาเหมือนว่าจะเจอแรงกระแทกจากสารพัดวิกฤตน้อยกว่าใคร โดยเฉพาะในภาคการสื่อสาร แต�ครั้งนี้ต่างออกไป คนไทยยังคงใช้ "มือถือ" แต่คุยสั้นลง และโทร.ไม่ถี่เหมือนก่อน ที่น่าตกใจอย่างมาก เป็นรายได้จากบริการโทร.ข้ามแดน (โรมมิ่ง) 2-3 เดือนสุดท้ายของปีหดหายลงอย่างมีนัยสำคัญ

ปีนี้หนักแล้ว ปีหน้าอาจหนักยิ่งกว่า ก่อนถึงปีฉลู 2552 หันมาทบทวนความทรงจำในที่สุดแห่งปี 2551

ปีทองมือถือเฮาส์แบรนด์

เคย ตบเท้าเข้าตลาดมาแล้วรอบหนึ่ง 3-4 ปีก่อน แต่ก็ต้องยกทัพกลับบ้านเก่าไป ด้วยว่า มีปัญหาเรื่องคุณภาพสินค้า และบริการหลังการขาย ประกอบกับบิ๊กแบรนด์ทั้งหลาย นำโดยยักษ์ "โนเกีย" ไหวตัวทันออกสินค้ารุ่นใหม่ๆ ที่ราคาไม่แพงนักออกมามากขึ้น มือถือแบรนด์เล็กๆ รวมถึง เฮาส์แบรนด์ทั้งหลายจึงล้มหายตายจากไป

ที่ปักหลักจริงจังไม่ยอมแพ้ มีแต่ "ไอ-โมบาย" ของกลุ่มสามารถ 2 ปีที่ผ่านมาจึงเป็นรายเดียวที่ทำยอดขายเทียบเคียงได้กับบิ๊กแบรนด์

แต่ ปัจจุบันมีเฮาส์แบรนด์หน้าใหม่เกิดขึ้นมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเครื่องที่ผลิตจาก "จีน" โดยหลายแบรนด์สร้างส่วนแบ่งตลาดเป็นกอบเป็นกำ เช่น จีเน็ท เวลคอม และโฟนวัน เพราะมีการอัดฉีดเม็ดเงินโปรโมตแบรนด์ผ่านสื่อ มีกิจกรรมการตลาดกับช่องทางขายต่อเนื่อง

ปี 2551 ที่ผ่านมาจึงเป็นยุคทองของ มือถือ "เฮาส์แบรนด์" อย่างแท้จริง

ความ สำเร็จของ "เฮาส์แบรนด์" มาจาก 2-3 ปัจจัย ตั้งแต่คุณภาพสินค้า และเทคโนโลยีที่ดีขึ้นมาก (2 ซิม-ดูทีวีได้ เป็นฟังก์ชันที่แบรนด์เนมไม่มีหรือมีก็แพงมาก) ขณะที่ยังคงรักษาจุดแข็ง "ราคาถูก" เอาไว้ได้จึงจูงใจทั้งผู้บริโภค และร้านค้า เหมาะกับเศรษฐกิจในยุคขาลง

ว่ากันว่า คนใช้มือถือ "เฮาส์แบรนด์" ในไทยมีถึงหลักล้านแล้ว

มาร์เก็ต แชร์เดือนต่อเดือนใน 2551 บางเดือนฉิวเฉียด บางเดือนเกิน 30% !!! ปีชวดผ่านไป น่าจับตาเป็นว่า "เฮาส์แบรนด์" จะสร้างปฏิหาริย์อีกไหม

ยักษ์มือถือชิมลาง 3G (คลื่นเดิม)

รอ แล้วรอเล่าจนบ้านใกล้เรือนเคียงกันมีไปเกือบหมดแล้ว ล่าสุด "ลาว" ก็มี3G แล้ว แต่บ้านเรายังไปไม่ถึงไหน โชคดีเทคโนโลยีพัฒนาไปมากจนนำความถี่เดิมคลื่นเดิมมาต่อยอดใช้ไปพลางก่อนได้

นำ ทีมโดย "เอไอเอส" ยังรักษาตำแหน่ง "เสือปืนไว" ไว้ได้เหมือนเคย แม้เวลาเตรียมตัวน้อยมาก แต่มีพี่เลี้ยงดีอย่าง "ทีโอที" แผนอัพเกรด 3G บนคลื่นเดิมจึงวิ่งฉิว

ปักธงผู้นำ 3G ในเชิง "พี.อาร์." ไปได้

ข้าง "ดีแทค" แรกๆ เหมือนจะจริงจังกับการอัพเกรด 3G บน 850MHz ทำไปทำมาเหมือนว่า ที่เสนอตัวขยับความถี่ปันคลื่นให้ "ทรูมูฟ" อาจเป็นแค่เกมรักษาความถี่ ไม่ให้ใครหาเรื่องมายึดคืนได้ เพราะแทบไม่ได้ใช้งานแล้วมากกว่า

งานนี้ "ทรูมูฟ" จึงกระอักกระอ่วน กว่าใคร ไอโฟน 3G ก็เอามาขายแล้ว เน็ตเวิร์กก็ติดตั้งไปพลางแล้ว แต่ยังไม่ได้ "คลื่น" ได้แต่รอลุ้นว่า ที่ซีอีโอ "กสท โทรคมนาคม" รับปากว่าจะเคลียร์ให้ได้น่ะจะอีกนานมั้ย

"เนตบุ๊ก" พระเอกใหม่

"เนตบุ๊ก" ถือเป็นคอมพิวเตอร์พกพาเซ็กเมนต์ใหม่ที่เพิ่งมีการเปิดตลาดในปี 2551 ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคเศรษฐกิจฝืดเคืองได้

ด้วย คุณสมบัติราคาประหยัดสนนราคาหมื่นต้นๆ ขนาดกะทัดรัด 9-10 นิ้ว น้ำหนักเบา 1 กิโลกรัม สะดวกในการพกพาในยุคออนไลน์ทำให้กระแสตอบรับดีมาก

ขณะ ที่ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ก็มองว่า "เนตบุ๊ก" จะเข้ามาช่วยขยายตลาดให้กว้างขึ้น มี "อัสซุส" เป็นผู้บุกเบิกเนตบุ๊กตั้งแต่ปลายปี 2550 และเมื่ออินเทลเปิดตัวโปรเซสเซอร์ "อะตอม" ในปี 2551 ก็เป็นการจุดพลุให้ "เนตบุ๊ก" แจ้งเกิดเป็นทางการ เพราะเป็นเทคโนโลยีที่ประหยัดพลังงานและราคาถูกเปิดประตูให้ผู้ผลิต คอมพิวเตอร์ทั้งเล็กและใหญ่โดดเข้ามาจับตลาดเนตบุ๊กกันเต็มตัว

เรียกได้ว่า "เนตบุ๊ก" เป็นพระเอกใหม่ที่เข้ามาช่วยสร้างสีสันให้กับตลาด

โดย ขณะนี้มีเนตบุ๊กเปิดตัวและทำตลาดในไทยจำนวนมาก อาทิ เอเซอร์ อัสซุส โตชิบา เดลล์ เลอโนโว ฟูจิตสึ รวมถึงโลคอลแบรนด์อีกหลายราย ระดับราคาจะอยู่ที่หมื่นต้นๆ แต่บางรุ่นก็ดัมพ์ราคาอยู่ที่ 7,000-8,000 บาท

มี บริษัทวิจัยการตลาดรายงานว่า "เนตบุ๊ก" (มินิโน้ตบุ๊ก) ทั่วโลกในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาเติบโตถึง 160% โดย "เอเซอร์ แอสไปร์ วัน" เป็นผู้นำด้วยส่วนแบ่งตลาด 38.3% หรือ 2.15 ล้านเครื่อง แซง "อีอีอี พีซี" ของอัสซุสผู้บุกเบิกตลาดนี้ ซึ่งมี ส่วนแบ่งอยู่ที่ 30.3% หรือ 1.7 ล้านเครื่อง

สำหรับในเมืองไทยนั้นคาดการณ์ว่าปีนี้จะมีตลาดรวมอยู่ ที่ 300,000เครื่อง แต่ยังไม่มีข้อมูลว่าใครมีมาร์เก็ตแชร์เท่าไร ที่แน่ๆ "เอเซอร์และอัสซุส" เป็นเจ้าตลาด คาดว่าในปี 2552 ที่ภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำ"เนตบุ๊ก"เป็นอีกทางเลือกที่ดี

"โซเชียลเน็ตเวิร์ก" จุดพลุ AD. ออนไลน์

ปัจจุบัน "โซเชียลเน็กเวิร์ก" หรือ เครือข่ายสังคมออนไลน์ เป็นกระแสของคนในโลกไซเบอร์ และเป็นช่องทางสร้างสัมพันธ� ของคนรุ่นใหม่ ในเมืองไทยที่รู้จักแพร่หลายก็คือ "ไฮไฟ" โดยไทยติดอันดับ 2 ของโลกที่มีผู้เล่นไฮไฟมากที่สุด

โซเชียลเน็ตเวิร์กได้รับความนิยมเพราะ "มนุษย์เป็นสัตว์สังคม" ที่ต้องการมีสังคม รวมทั้งเป็นการแสดงตัวตนให้เป็นที่รับรู้ของสาธารณะ

ปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นศิลปินดารา นักการเมือง ต่างก็อาศัยโซเชียลเน็ตเวิร์กในการสร้างกระแสและแนะนำตัวเองด้วยจำนวนสมาชิก นับล้าน ทำให้เครือข่ายสังคมออนไลน์ก็กลายเป็นขุมทรัพย์สำคัญของ "โฆษณาออนไลน์" ในการสร้างโอกาสทางธุรกิจเป็นสื่อใหม่ขององค์กรธุรกิจและสินค้าทั้งไทยและ เทศที่ต้องการเจาะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายแบบเซ็กเมนเตชั่น

โดย ผลจากการเติบโตของสมาชิกไฮไฟในประเทศไทย ในปีที่ผ่านมา "ไฮไฟ" ได้แต่งตั้งบริษัท ท็อป สเปซ จำกัด ในเครือสนุกดอทคอมทำหน้าที่เป็นผู้ขายโฆษณาในไฮไฟ ซึ่งก็เป็นการกระแสของโฆษณาออนไลน์มากขึ้น

ทั้งนี้จากการสำรวจของ "ศูนย์เทคโนโลยี อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ พบว่าเว็บไซต์สังคมออนไลน์ที่คนไทยนิยมใช้มากที่สุดได้แก่ ไฮไฟ (hi5) ร้อยละ 47.5 รองลงมาได้แก่ Wikipedia ร้อยละ 14.4 อันดับ 3 ได้แก่ Youtube ร้อยละ 12.6

นอกจากนี้ ยังพบว่าในภาวะวิกฤตด้วย งบประมาณจำกัดทำให้หลายๆ องค์กรหันมา มองสื่อออนไลน์มากขึ้น เพราะเป็นสื่อที่ตรงกลุ่มเป้าหมายและสามารถวัดผลได้มากกว่า


ผู้ตั้งกระทู้ News กระทู้ตั้งโดยเว็บมาสเตอร์ โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2009-01-01 09:06:25