ก.พาณิชย์ดันโลจิสติกส์ ปี"52 Thai
Logistics หนุนไทยรวมธุรกิจบี้อินเตอร์ "TLA-SLA" อาสาชิงบิ๊กเค้ก
7.3 แสนล้าน
หลายรัฐบาลมีความพยายามจะยกระดับการขนส่ง
สินค้าจากต้นทางถึงปลายทางแบบครบวงจร หรือ logistics มาตั้งแต่ปี 2545 สมัยนั้น 5
กระทรวงเศรษฐกิจลุกขึ้นมาจัดเวิร์กช็อปร่วมกันเป็นครั้งแรก 5 กระทรวง
มีกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงคมนาคม
กระทรวงการต่างประเทศ โดยมีสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
เป็นแม่งานหลักวิจัยและศึกษาข้อมูลตลอดจนการจัดทำแผน โลจิสติกส์ฉบับ 5-10 ปี
พุ่งเป้าหมายจัดระเบียบการย้ายสินค้าอย่างมีระบบมาตรฐาน
เพื่อประโยชน์สูงสุดในการ "ลดต้นทุนค่าขนส่ง" และ
"เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน" ทำให้ธุรกิจส่งออกไทยขยาย
ตลาดได้อย่างรวดเร็วในเวทีนานาชาติ
แทนที่จะมาติดแหง็กอยู่กับความล่าช้าขาดประสิทธิภาพเอกชนต้องแบกภาระต้นทุน
โลจิสติกส์ไว้ไม่ต่ำกว่า 23%
เมื่อ "อลงกรณ์ พลบุตร"
เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ หนึ่งในนโยบายเร่งด่วนปี 2552
เดินหน้าสนับสนุนแผนงานของ "กรมพัฒนาธุรกิจการค้า" กระทรวงพาณิชย์
ช่วยเหลือดูแลผู้ประกอบการภาคเอกชนไทยรวมตัวกัน
ก่อตั้งบริษัทโลจิสติกส์ครบวงจรลงสนามเพื่อชิงเค้กรายได้ปีละ 7.3
แสนล้านบาทมาไว้ในมือนักธุรกิจไทย
ซึ่งมีศักยภาพพร้อมให้บริการ
แข่งกับกลุ่มทุนต่างชาติซึ่งเป็น ผู้ครอบครองรายได้ไว้ถึง 99%
ขณะนี้บริษัทโลจิสติกส์มีส่วนแบ่งรายได้เพียง 1%
ทันทีที่กระทรวงพาณิชย์ออกแรงช่วยอย่างเต็มที่
โดยตั้งเป้าดึงเค้กมาเป็นของกลุ่มธุรกิจไทยให้ได้ขั้นต่ำ 10% หรือประมาณ 73,000
ล้านบาท/ปี
|
รม ช.อลงกรณ์กล่าวว่า การขับเคลื่อนนโยบายโลจิสติกส์
ของผู้ประกอบการไทยแข่งขันกับผู้ประกอบการอินเตอร์ที่เข้ามาปักหลักบริการนำ
รายได้กลับประเทศไปมหาศาล กระทรวงพาณิชย์จะต้องทำภายใต้ความสำเร็จ 4 วาระหลัก 1)
สร้างมาตรฐานขานรับกระแสการค้าโลกโดยการให้ความสำคัญกับ
โลจิสติกส์และธุรกิจเกี่ยวข้อง
2)
เร่งส่งเสริมสนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถทางการ
แข่งขันกับธุรกิจโลจิสติกส์สัญชาติไทยและบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) 3)
สร้างพันธกิจโลจิสติกส์ด้วยยุทธศาสตร์เชิงนโยบายการผลักดันให้ผู้ประกอบการ
รวมตัวกันตั้งกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจ (alliance) และ 4)
เร่งผลักดันให้กลุ่มพันธมิตรธุรกิจ
โลจิสติกส์เป็นแกนหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในเวทีโลก
เพราะสถานะของ
ไทยท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์และวิกฤตเศรษฐกิจโลกนั้น
อย่างไรก็ต้องเดินหน้าเพิ่มมาตรฐานเพื่อความก้าวหน้ารับกับการหมุนของ
โลจิสติกส์โลกจำเป็นที่ไทยจะต้องจูนรับคลื่นใหม่ 3 เรื่อง คือ 1)
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ที่กำลังทำให้โลกแคบลง 2)
ระบบเศรษฐกิจทั้งหมดต่างขับเคลื่อนด้วยการค้าเสรีเริ่มขยายข้อตกลงทางการค้า
ในแบบทวิและพหุภาคี 3)
การเคลื่อนย้ายเงินทุนจากอีกประเทศไปยังอีกประเทศเป็นไปแบบไร้พรมแดน
เพื่อ
ให้เกิดผลออกมา (outcome) ใหม่ 3 เรื่อง 1)
ไทยเป็นประเทศคู่ค้าที่มีความสำคัญกับนานาประเทศ 2)
โลจิสติกส์เป็นเครื่องมือที่จะสร้างความก้าวหน้าทางการค้าและเศรษฐกิจมาก ขึ้นทุกวัน
3) เปิดช่องให้ธุรกิจเอสเอ็มอีเร่งปรับตัวและเพิ่มขีดความสามารถแข่งกับนานา ชาติ
ได้เต็มที่
จากสถิติล่าสุดปี 2550
ต้นทุนโลจิสติกส์ของไทยติดหล่มรุนแรงมากถึง 1,603,800 ล้านบาท สูงกว่าปี 2549 กว่า
100,000 ล้านบาท เนื่องจากขาดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันก็เจอพิษราคาน้ำมันตลาดโลกพุ่ง ทะลุเพดาน 147.5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
ทำให้ต้นทุนโลจิสติกส์ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทยสูงเกิน 19%
ต่างจากประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสิงคโปร์และฮ่องกง มีสัดส่วนไม่เกิน 10%
เท่านั้น
ฉะนั้นรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของ "นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"
นายกรัฐมนตรี จะอาศัยความแข็งแกร่งของ "กรมพัฒนาธุรกิจการค้า" กระทรวงพาณิชย์
ที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์การพัฒนาโลจิสติกส์มาตั้งแต่ต้นได้แสดง
บทบาทการเป็น "ผู้นำ" ที่จะสร้างปรากฏการณ์ธุรกิจโลจิสติกส์คนไทย
ดึงผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ยังพอมีโอกาสแข่งขันกับต่างชาติ ได้อีกไม่ต่ำกว่า
15,000 บริษัท เติบโตไปพร้อมกัน รักษาแรงงานในตลาดไว้ให้ปีละ 3 ล้านคน
จากนี้ไปกระทรวงพาณิชย์จะ ให้โอกาสพันธมิตรธุรกิจ โลจิสติกส์ 2 บริษัทใหญ่
เป็นแกนนำต่อกรกับบริษัทโลจิสติกส์ข้ามชาติ ได้แก่ Thai Logistics Alliance หรือ
TLA ซึ่งเกิดจากการร่วมทุนของกลุ่มบริษัทขนส่งและตัวแทนนำเข้า-ส่งออก
สินค้าระหว่างประเทศ 31 บริษัท มีทุนจดทะเบียน 1,300 ล้านบาท
มีสินทรัพย์อยู่ในมือเป็นรถบรรทุกสินค้า 1,200 คัน พื้นที่คลังสินค้า 50,000
ตารางเมตร พนักงานรวม 3,000 คน นอกจากจะพัฒนาบริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรแล้ว
ยังมีจุดแข็งด้านการขนส่งทางบก ตัวแทนการออกของ บริการคลังสินค้า
ส่วน Siam
Logistics Alliance หรือ SLA
เป็นบริษัทกิดจากการรวมกลุ่มของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั่วประเทศ
เพิ่งจดทะเบียนจัดตั้งปี 2551 ด้วยทุน 1,100 ล้านบาท มีรถบรรทุกสินค้า 1,700 คัน
พื้นที่คลังสินค้า 250,000 ตารางเมตร มากกว่า TLA 5 เท่า พนักงาน 3,100 คน
ซึ่งจะเข้ามาเสริมบริการร่วมกับ TLA ครอบคลุมไปยังบริการเช่าหรือขาย ฟอร์กลิฟต์
อุปกรณ์รถยก นวัตกรรมทางเทคโนโลยี และการ
ฝึกอบรมสัมมนาบุคลากรให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพแข่งขันกับต่างชาติได้
นโยบาย
ของ "กระทรวงพาณิชย์"
วางสปอตไลต์ชัดเจนที่จะยกระดับธุรกิจโลจิสติกส์ไทยแข่งขันกับต่างชาติได้
อย่างมีประสิทธิภาพ และชิงส่วนแบ่งรายได้มาครอบครองปีละไม่ต่ำกว่า 10% จากปีนี้ 7
หมื่นล้านบาท ปีต่อไปเมื่อเข้า TLA และ SLA มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
โดยมีพันธมิตรเพิ่มจากกลุ่มเอสเอ็มอี ส่งออก 15,000 บริษัท
ถึงเวลานั้นไทยก็จะหลุดจากกับดักการขนส่งสินค้าเปิดประตูสินค้าสู่เวทีโลก
ได้อย่างราบรื่นดีกว่าทุกวันนี้ที่มา...http://www.matichon.co.th/prachachat/
|