ผู้ค้าไอทีป่วน!แบงก์ดึงสินเชื่อกลับ
ยักษ์ค้าส่งกัดฟันหั่นมาร์จิ้นตัวเองต่อลมหายใจคู่ค้า
วง
ในเผยนโยบายคุมเข้มสินเชื่อของแบงก์พาณิชย์ส่งผลกระทบผู้ค้าไอทีรายย่อย
โดนตัดวงเงินสินเชื่อเจอปัญหาสภาพคล่องการทำธุรกิจ
ดิสทริบิวเตอร์รายใหญ่ร้อนใจหวั่นกระทบวงจรธุรกิจ "อินแกรม ไมโคร"
ดิ้นหาแนวทางช่วยเหลือผู้ค้า งัดกลยุทธ์ใช้วงเงินบัตรเครดิตต่อลมหายใจคู่ค้า
เผยปัญหากำลังซื้อถดถอยยังรับมือได้
แต่ถ้าแบงก์ตัดท่อน้ำเลี้ยงจะเป็นปัญหาใหญ่
นายวีระ วงศ์ทรัพย์คณา กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท อินแกรม
ไมโคร (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า
จากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจและความวุ่นวายทางการเมืองกระทบต่อภาพรวมของตลาดที่
ฉุดกำลังซื้อชะลอตัวในทุกตลาด แต่ภาคธุรกิจยังสามารถรับมือได้
โดยส่วนใหญ่ก็เข้าสู่นโยบาย "คอนเซอร์เวทีฟ" ควบคุมการใช้จ่ายและลดการลงทุน
เพราะถึงอย่างไรตลาดไอทีก็ยังมีการเติบโต แต่ที่ เป็นกังวลมากคือ ผลกระทบจากนโยบาย
คุมเข้มสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของคู่ค้า
โดย
ขณะนี้ได้รับข้อมูลจากคู่ค้าหลายรายว่ากำลังประสบปัญหาจากกรณีที่แบงก์ดึง
เงินสินเชื่อของบริษัทคืน เช่น ได้วงเงินเครดิต 10 ล้านบาท ก็ถูกตัดลดลงเหลือ 8
ล้านบาท เป็นต้น
ทั้งนี้ส่วนใหญ่ผู้ค้าใช้บริการหลายแบงก์และทุกแบงก์ก็ตัดวงเงินสินเชื่อ
เหมือนกันหมด ก็ทำให้บริษัท ร้านค้าต่างๆ ค่อนข้างมีปัญหา
เพราะเท่ากับว่าธุรกิจของคู่ค้าหดตัวลง
นายวีระกล่าวว่า
การที่จะช่วยเหลือผู้ค้าในตลาดให้อยู่รอดได้
ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันทั้งดิสทริบิวเตอร์และเวนเดอร์
ซึ่งอาจต้องลดกำไรของตัวเองเพื่อเพิ่มกำไรในส่วนของ channel margin
เพื่อให้ร้านค้าอยู่ได้
โดยในส่วนของอินแกรมฯได้เพิ่มเครื่องมือ
ทางการเงินใหม่ให้คู่ค้า โดยการให้ใช้วงเงินบัตรเครดิตในการชำระราคาสินค้า
เพราะถือว่าเป็นวงเงินใหม่ที่เพิ่มเข้ามา และยังมีเวลาการชำระเงินถึง 55 วัน
ซึ่งข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ปัจจุบันคนไทยมีบัตรเครดิตเฉลี่ยประมาณ 7
ใบ ซึ่งถ้าแบ่งมาใช้เป็นวงเงินเพื่อธุรกิจ 3-4 ใบ
ก็ทำให้ร้านค้าจะมีวงเงินเพิ่มขึ้น 1-2 ล้านบาท
ทำให้เกิดสภาพคล่องมากพอในการดำเนินธุรกิจต่อไปได้
เพราะร้านค้ารายย่อยส่วนใหญ่ก็จะมีวงเงินการซื้อขายสินค้าประมาณ 5-6
ล้านบาทต่อเดือน โดยขณะนี้บริษัทได้เริ่มทดลองกับคู่ค้าประมาณ 10 ราย เป็นเวลา 2
เดือนแล้ว ซึ่งร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการก็ค่อนข้างพอใจ
นาย วีระกล่าวว่า
ที่ผ่านมาบริษัทไม่ได้ให้คู่ค้าใช้บัตรเครดิตในการชำระเงิน
เพราะมาร์จิ้นในธุรกิจนี้ค่อนข้างต่ำประมาณ 4%
ขณะที่จะต้องเสียค่าธรรมเนียมให้กับธนาคารอีก 1.7%
แต่เมื่อมีปัญหาก็มาศึกษาหาแนวทางเพิ่มสภาพคล่อง
บริษัทจึงได้ตกลงแบ่งภาระค่าธรรมเนียมกับคู่ค้า โดยบริษัทรับภาระ 1% และคู่ค้า 0.7%
อย่างไรก็ตามการใช้บัตรเครดิตคู่ค้าก็จะได้สะสมแต้ม
ซึ่งสามารถแลกเป็นเงินสดในการซื้อสินค้าได้
เมื่อคำนวณแล้วที่สุดคู่ค้าจะมีภาระในการจ่ายค่าธรรมเนียมประมาณ 0.1-0.2% เท่านั้น
ขณะที่ในส่วนของเวนเดอร์อาจจะไม่ได้มีการเพิ่มมาร์จิ้น ให้คู่ค้าโดยตรง
แต่ส่วนใหญ่ก็จะมีการทำโปรแกรมพิเศษออกมาให้คู่ค้าเป็นช่วงๆ
ก็เป็นรูปแบบหนึ่งในการช่วยต่อลมหายใจให้คู่ค้าได้
นายวีระกล่าว
เพิ่มเติมว่า กรณีแบงก์ชาติประกาศลดดอกเบี้ยลง 1%
เป็นการช่วยลดภาระต้นทุนทางการเงินให้กับผู้ประกอบการที่มีวงเงินเครดิตอยู่ แล้ว
แต่ปัญหาที่เกิดขึ้น ผู้ค้าขาดสภาพคล่องไม่ได้รับสินเชื่อ ซึ่ง
ส่วนใหญ่ก็จะเป็นร้านค้ารายย่อย
เพราะรายใหญ่ส่วนใหญ่จะมีเครดิตดีอยู่แล้ว
เช่น เดียวกับ นายเอกรัศมิ์
อวยสินประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย)
กล่าวว่า วิกฤตที่เป็นปัญหาใหญ่ของผู้ประกอบการไอที คือ
ผลกระทบจากสถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ มีการตรวจสอบมากขึ้น
หรือลดเวลาการให้สินเชื่อ สั้นลง ทำให้ร้านค้าต่างๆ ได้รับผลกระทบ
ซึ่งก็เป็นสิ่งที่อินเทลค่อนข้างเป็นห่วง
อย่างไรก็ตามปัญหาสภาพคล่องของผู้ค้าอินเทลอาจจะทำอะไรได้ไม่มาก
โดยในส่วนของอินเทลก็จะเน้นการให้การสนับสนุนและช่วยเหลือคู่ค้าในรูปแบบ อื่น อาทิ
การจัดกิจกรรมกับคู่ค้า เพื่อขยายฐานลูกค้าหรือกระตุ้นตลาดอย่างต่อเนื่อง
ที่มา...http://www.matichon.co.th/prachachat/
|