" คดีฆ่าพระครูกาญจนสิทธิสารหรือหลวงพ่อจันทิมา เจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการาม อ.สังขละบุรีจ.กาญจนบุรี"ซึ่งเป็นวัดของหลวงพ่ออุตตมะอดีตเทพเจ้าของชาวมอญ

พระหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว พิมพ์ปรกโพธิ์

 การฆาตกรรมครั้งนั้นเกิดขึ้นหลังจากหลวงพ่ออุตตมะได้ถึงแก่มรณภาพแล้วทางเจ้า คณะจังหวัดได้แต่งตั้งพระครูกาญจนสิทธิสาร เป็นเจ้าอาวาสแทนหลวงพ่ออุตตมะ โดยได้มีปัญหาแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันเองภายในวัด ระหว่างพระลูกวัดและคณะกรรมการ วัดเกี่ยวกับเรื่องการจำหน่ายวัตถุมงคลและการปกครองภายในวัดตลอดมา ต่อมา หลวงพ่อจันทิมาสืบทราบมาว่าวัตถุมงคลของหลวงพ่ออุตตมะยังมีเก็บรักษาไว้เป็น ส่วนตัวที่กุฏิของพระแขกซึ่งเป็นพระลูกวัด โดยวัตถุดังกล่าวไม่ได้นำมาเป็น ของส่วนรวมกับทางวัด หลวงพ่อจันทิมาจึงได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตชด. ที่มีหน้าที่ดูแลรักษาวัตถุมงคลของหลวงพ่ออุตตมะช่วงที่หลวงพ่ออุตตมะได้ มรณภาพไปแล้วให้ช่วยสืบสวนหาข้อเท็จจริง ในครั้งนั้นโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการตรวจค้นกุฏิของพระแขกพบว่า มีวัตถุมงคลของหลวงพ่ออุตตมะซุกซ่อนอยู่ภายในกุฏิของพระแขก จึงได้เก็บรักษา ไว้เป็นส่วนกลางที่วัด ทำให้พระแขกโกรธแค้นไม่พอใจ พระแขกจึงไปปรึกษากับชาว บ้าน คณะกรรมการชุดเก่า ประกอบด้วยนายเต็ม นายเลียง เพื่อหาช่องทางกำจัด หลวงพ่อจันทิมา โดยทั้งหมดได้ร่วมการลงขันเงินสดคนละ ๑๐,๐๐๐ รวมทั้งหมด ๓๐, ๐๐๐ บาทเพื่อใช้สำหรับเป็นค่าจ้างในการจ้างมือปืนไปสังหารหลวงพ่อจันทิมาแต่ ตำรวจสามารถพิชิตคดีได้อย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งนั้นเกิดจากฝีมือการเอาใจใส่ และติดตามคดีของ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค๗  อย่างไรก็ตามแม้ว่าการเป็น ผู้ บัญชาการตำรวจภูธรภาค๗ แน่นอนที่สุดว่า มีคดีใหญ่ๆ ต้องรับผิดชอบที่เกิด ขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน แต่หากว่างจากราชพล.ต.ท.วรพงษ์ก็มักจะไปทำบุญตามวัด เสมอๆ โดยวัดที่ไปทำบุญนั้นก็คือ วัดหลวงหรือวัดหลวงประชาบูรณธนิตเพราะอยู่ ใกล้บ้านซึ่ง แต่เดิมนั้นวัดแห่งนี้เป็นวัดร้าง ต่อมาท่าน พล.ต.ท.ประชาบูรณ ธนิต ได้บูรณปฏิสังขรณ์จึงเติมคำว่า ประชาบูรณธนิตเป็นชื่อเต็มวัดไปเลย เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้บูรณะ ขณะเดียวกันคนเก่าๆ ที่อยู่ใกล้วัดเล่าลือกัน มาตลอดว่าองค์หลวงพ่อใหญ่พระประธานในโบสถ์นั้นศักดิ์สิทธิ์มาก

พล.ต.ท.วรพงษ์เล่าย้อนอดีตให้ฟังว่า หลังเรียนจบจากโรงเรียนนายร้อย เมื่อ ปี๒๕๒๐ ติดยศร้อยตำรวจตรีแล้วก็สมัครเป็นตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) เลยทันที โดยสมัครไปประจำการอยู่ที่ อ.อรัญประเทศ จ.ปราจีนบุรี นานถึง๒ ปี เพราะเป็น ช่วงพื้นที่ที่นั่นมีสถานการณ์รุนแรง การยิงปะทะกับผู้ก่อการร้ายเป็นเรื่อง ปกติตลอดทั้ง ๒ ปีที่ไปประจำการ ในครั้งนี้มีพระเครื่องที่แขวนติด ตัว ๒ องค์ คือเหรียญหลวงพ่อห่วง วัดท่าใน และหลวงพ่อเงินวัดดอนยายหอม จึง ปลอดภัยจากการปะทะกับผู้ก่อการร้ายเสมอมา

พระคงลำพูน

ขณะเดียวกันพระทั้ง๒ องค์ ยังแสดงว่าปาฏิหาริย์ที่เรียกว่า ต้องจดจำอย่างลืม ไม่ลงก็คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะไปประจำการในหน่วยพลร่มซึ่งต้องทำการฝึก กระโดดร่มแบบดิ่งพสุธา เมื่อปี๒๕๒๕ กติกาการฝึกกระโดดร่มในหนึ่งเที่ยวบินจะ ฝึกกระโดดได้เพียง ๓ คน เท่านั้นโดยใช้เครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ เป็นเครื่อง บินฝึกในมีเพื่อนร่วมรุ่นที่ฝึกด้วยกันอีก ๒ คน และหลังจากกระโดดลงมาแล้ว ปรากฏว่าวันนั้นลมกระโชกแรงมาก พร้อมกับพัดเอาพวกเราไปตกกลางทะเลทั้ง๓ คน "การโดดร่มแล้วลมพัดไปตกทะเลนั้น หลายคนอาจจะมองว่าตกทะเลจะเป็น อะไรตกไปก็เจอน้ำ แต่ความจริงแล้วตกบนยอดกอไผ่ หรือติดเสาไฟฟ้าแรงสูง ปลอดภัยยิ่งกว่า เพราะเท่าที่ผ่านมาใครโดดร่มตกทะเลมี ๒ ทาง คือ ไม่ตายก็ บาดเจ็บสาหัส ด้วยเหตุที่สายร่มพันตัว ขณะเดียวกันถึงตัดสายร่มออกได้อาจจะ ตายเพราะจมน้ำ ในครั้งนั้นลมได้พัดร่มพาตัวเองไปไกลฝั่งชนิดที่เรียกว่ามอง ไม่เห็นแผ่นดิน ก็พยายามว่ายน้ำเข้าฝั่ง ใจหนึ่งก็คิดว่าไม่รอดแน่ ถือว่า เป็นเรื่องที่โชคดีมีเรือประมงแล่นมาพอจึงรอดตาย จากนั้นก็ไปช่วยเพื่อน อีก ๒ คน แต่ช่วยได้เพียงคนเดียวเท่านั้น" พล.ต.ท.วรพงษ์ กล่าว

พร้อมกันนี้พล.ต.ท.วรพงษ์ ยังบอกด้วยว่า ระหว่าง ปี๒๕๔๘-๒๕๔๙ ได้สมัครไปปฏิบัติหน้าที่ใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยไปทำ หน้าที่เป็นรองผู้บัญชาการฝ่ายสืบสวน ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ ไม่ว่าจะ เป็นการลอบยิง วางระเบิด ต้องออกไปตรวจสถานที่ทุกครั้ง ในการเดินทางไปปฏิติ หน้าที่ครั้งนี้นอกจากปืนและเสื้อเการะแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สร้างความอุ่นใจ ไม่น้อยกว่ากัน คือ พระเครื่อง ซึ่งแขวนติดตัวเป็นประจำด้วยกันทั้ง หมด๕ องค์ คือ๑.หลวงปู่ทวดวัดช้างให้ เนื้อเมฆพัตร ซึ่งได้รับมอบจากพล.ต.อ. พรศักดิ์ดุรงควิบูลย์ อดีตรองผบ.ตร. ๒.พระคงลำพูน ๓.พระฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ ๔.พระหลวงปู่บุญวัดกลางบางแก้วพิมพ์ปรกโพธิ์เนื้อดิน และ๕.พระไพรีพินาศ วัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งตลอดระยะเวลา ๒ ไป ไม่เคยประสบเหตุใดๆ เลย มี แต่เกิดก่อนไปถึงที่เกิดเหตุหรือเกิดหลังออกจากสถานที่เกิดเหตุ

พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา

อย่างไรก็ตามในฐานะที่มารับตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค๗ หน้าที่หนึ่งที่ ต้องรับผิดชอบ คือ การดูแลสวัสดิการของผู้ใต้บังคับบัญชา โดยเฉพาะการดูแล ลูกเมียของตำรวจหลังจากผู้นำครอบครัวเสียชีวิต จึงจัดงานมหกรรมประกวดการ อนุรักษ์พระบูชา พระเครื่อง และเหรียญพระคณาจารย์ ทั้งประเภทยอดนิยม ประเภท ทั่วไป พระเครื่องของเกจิอาจารย์ชื่อดัง พระชุดจังหวัดต่างๆ โดยเฉพาะ จ. นครปฐม  ขึ้นในวันอาทิตย์ที่ ๓ สิงหาคม ณ หอประชุมชุณหะวัณ โรงเรียนนายร้อย ตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม ทั้งนี้เพื่อนำรายได้เป็นสวัสดิการแก่ข้าราชการ ตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรภาค ๗ ข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัด ชายแดนภาคใต้ และรายได้อีกส่วนหนึ่งเพื่อสนับสนุนการศึกษาของบุตรข้าราชการ ตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรภาค ๗ รวมทั้งเพื่อนำไปใช้ในการปรับปรุงพัฒนางาน ตำรวจ ในความรับผิดชอบของตำรวจภูธรภาค ๗ ให้มีขีดความสามารถ และประสิทธิภาพ ในการปฏิบัติงานด้านป้องกันปราบปรามอาชญากรรมให้ดียิ่งขึ้น จึงถือโอกาสนี้ เชิญชวนนักนิยมสะสมพระเครื่องทั่วประเทศร่วมส่งพระเข้าประกวดกันในวันเวลาดังกล่าว พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา
ที่มา...