การขึ้นทะเบียน มรดกโลก" กรณีเขาพระวิหารกับองค์การยูเนสโกกำลังเป็นประเด็นร้อนที่ทำให้คนไทยและชาว พุทธจำนวนไม่น้อยเลือดขึ้นหน้าด้วยความรักชาติ
เพราะนอกจากเป็นประเด็นร้อนเมื่อเกือบ ๕๐ ปีมาแล้ว และคงจะเป็นประเด็นที่ร้อนแรงต่อไปอีกยาวนาน
ย้อนมาถึงพระพุทธศาสนา ชาวพุทธต้องถามว่าเรามีมรดกโลกอะไรบ้าง?
องค์ การยูเนสโกลงทะเบียนศาสนสถานของพุทธศาสนาว่าเป็นมรดกโลกหลายแห่งทั่วโลก นับตั้งแต่อุทยานลุมพินีในเนปาลอันเป็นซากปรักหักพังของสถานที่ประสูติ เมืองพุทธคยาในอินเดีย เมืองที่ทรงตรัสรู มหาเจดีย์แห่งเมืองศาญจิอันเป็นศูนย์กลางของการเผยแผ่พระพุทธศาสนานับเป็น พันปีต่อมาหลังพุทธปรินิพพาน ซากมหาวิทยาลัยนาลันทาอันมหึมาในแค้วนมคธ วิหารถ้ำอันอลังการแห่งอาจันตาในภาคใต้ของอินเดีย วิหารถ้ำแกะสลักที่กระจายในหุบเขาอีกนับพันแห่งในอินเดีย พระพุทธรูปวิหารและสถูปเจดีย์อีกนับร้อยที่กระจายอยู่ตามเส้นทางสายไหมเมื่อ พันปีที่แล้ว
นับจากซากเมืองตักสิลาในปากีสถาน พระพุทธรูปหินแห่งเมืองบามียันในอัฟกานิสถาน ซากเมืองโบราณอนุราธปุระอันเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาในศรีลังกา พระพุทธรูปหินขนาดใหญ่อีกหลายแห่งในจีน วังโปตาลาในทิเบต วิหารทองแห่งเมืองเกียวโต พระพุทธรูปแห่งเมืองนารา และสถูปอีกจำนวนนับร้อยในจีน เกาหลี และญี่ปุ่น มหาเจดีย์ชเวดากองในเมืองย่างกุ้ง พระมหามนีแห่งเมืองมัณฑะเลย์ ยังไม่นับพระแก้วมรกต พระพุทธรูปทองคำในประเทศไทย พระบางแห่งในเมืองหลวงพระบางในลาว และปูชนียวัตถุอีกนับหมื่นชิ้นที่หาค่ามิได้ในโลก เช่น พระพุทธสิหิงค์ พระพุทธชินราช หลวงพ่อโสธร หลวงพ่อทองคำ วัดไตรมิตร ฯลฯ
มรดกโลก ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ล้วนเป็นมรดกโลกที่พระพุทธศาสนาฝากไว้ให้คนรุ่นหลังได้ ชื่นชมกับความศรัทธาและเป็นประจักษ์พยานของความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธ ศาสนาของชาวพุทธในแต่ละยุคสมัยในดินแดนที่หลากหลายทางวัฒนธรรม ที่พระพุทธศาสนาเข้าไปปักหลักในจิตใจประชาชนในแต่ละถิ่นเหล่านั้นในสมัยที่ อารยธรรมของประเทศเหล่านั้นขึ้นถึงจุดสูงสุด และเป็นการเผยแผ่อย่างสันติไม่มีการรบราฆ่าฟัน ไม่มีการเสียเลือดเนื้อ
" มรดกโลกที่สำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนาไม่ใช่ปูชนียสถานและปูชนียวัตถุทั้ง หมดที่กล่าวมาข้างต้นนี้ แม้ว่าวัตถุธรรมเหล่านั้นบางองค์หรือบางรูปจะเป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาแห่งพุทธ บริษัทมานับพันปี ผลงานทางวัตถุเหล่านั้นเกิดจากศรัทธาและบารมีของผู้นำชาวพุทธในแต่ละยุคสมัย หรือเกิดจากปราชญ์ในท้องถิ่น มรดกของศาสนาที่กล่าวมาข้างต้นนี้ล้วนเป็นส่วนที่เรียกว่า "อามิส" เป็นวัตถุซึ่งแม้จะยิ่งใหญ่สวยงามตระการตาเพียงใดก็หาใช่สิ่งที่พระสัมมา สัมพุทธเจ้าสรรเสริญ" นี่คือมุมมองของ นพ.ดร.มโน เมตตานันโท เลาหวณิช ที่ปรึกษาพิเศษในเลขาธิการใหญ่ องค์การสมัชชาศาสนาเพื่อสันติแห่งโลก (ดับเบิลยูซีพีอาร์)
ทั้งนี้ นพ.ดร.มโน ยังบอกด้วยว่า มรดกธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระพุทธบรมศาสดาที่เป็นมรดกโลกคือ พระธรรม อันเป็นประจักษ์พยานการตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณของพระองค์ และเป็นยาขนานวิเศษที่ช่วยขจัดทุกข์ของเวไนยสัตว์ทั้งหลายอย่างไม่จำกัดกาล เวลา ส่วนพระพุทธรูปทองคำ พระแก้ว วิหารใหญ่โต โบสถ์อันตระการตาทั้งหลายเหล่านั้นล้วนเป็นวัตถุ มีความเสื่อมไปตามกาลเวลา เมื่ออำนาจวาสนาของผู้สร้างนั้นหมดลง สมบัติอันเป็นวัตถุทั้งหลายเหล่านั้นก็ต้องเสื่อมไป เพราะการถูกคนต่างศาสนารุกรานบ้าง โจรปล้นไปบ้าง ภัยสงครามบ้าง หรือแม้กระทั้งความศรัทธาของพุทธบริษัทที่ผันแปรวิปริตไปบ้าง หรือแม้แต่เป็นชนวนของสงครามเพราะผู้นำหยิบยกขึ้นมาเป็นเหตุแห่งลัทธิคลั่ง ชาติ เพื่อให้เกิดผลทางการเมืองฯลฯ
รองจากพระธรรมอันมรดกโลกชิ้นสำคัญของพระพุทธเจ้า คือพุทธบริษัท ทั้งสี่ อันได้แก่ ภิกษุบริษัท ภิกษุณีบริษัท อุบาสกบริษัท และอุบาสิกาบริษัท ผู้รับช่วงการปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ และสานต่อพุทธปณิธานที่จะช่วยมวลสรรพสัตว์ให้พ้นจากห้วงทุกข์จากเมื่อ ๒,๕๐๐ ปีที่แล้วจากประเทศอินเดียไปสู่ชาวโลกต่างๆ จนถึงทุกวันนี้พุทธบริษัททั้งสี่นั้น บางประเทศก็ได้รักษาไว้ครบถ้วนทั้งสี่บริษัท แต่บางประเทศคงเหลืออยู่เพียงสามบริษัทบ้าง สองบ้างหรือในบางสังคมเหลืออยู่เพียงบริษัทเดียวก็มี
" พระธรรมนั้นต่างหากที่เป็นมรดกที่ล้ำค่าที่สุด เป็นเนื้อหนักตัวจริงของพระพุทธศาสนา ตราบใดที่ยังมีผู้นำพระธรรมไปปฏิบัติ ตราบนั้นโลกก็ยังไม่ว่างเว้นจากอรหันต์ ผู้ใดที่ปฏิบัติธรรม ผู้นั้นก็ได้รับการยกย่องจากพระพุทธองค์ว่าเป็น "ธรรมทายาท" ผู้ที่สืบสานมรดกธรรมของพระพุทธองค์ ผู้ที่เป็นธรรมทายาทนั้นมิใช่ผู้ที่จะไปสร้างความเดือดร้อนให้แก่โลก แต่เป็นผู้ที่มีตนเป็นที่พึ่งของตนเองได้ มีความสุขและความปีติอยู่ในภายใน และสร้างสรรค์ความเจริญให้แก่โลกและเป็นที่พึ่งของผู้อื่นได้อย่างบริสุทธิ์ บริบูรณ์" นพ.ดร.มโน กล่าว
มหาเจดีย์บุโรพุทโธ
นายสรรค์สนธิ บุณโยทยาน ผู้เขียนเชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์ และผู้เขียนหนังสือสุริยปฏิทินพันปี บอกว่า ในจำนวนมรดกทางพุทธศาสนาที่เป็นมรดกโลกที่มีความสมบูรณ์อยู่ ๓ แห่ง คือ
๑. โบราณสถานของศาสนาพุทธนิกายมหายานที่ชื่อ "บุโรพุทโธ" (Borobudur) เป็นสถูปรูปทรงสี่เหลี่ยมคล้ายพีระมิด ขนาดมหึมา ๑๑๘x๑๑๘ เมตร สูง ๓๕ เมตร มีพระพุทธรูปประดิษฐานถึง ๕๐๔ องค์ นักโบราณคดีประมาณการว่าสร้างในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ และถูกทิ้งร้างในพุทธศตวรรษที่ ๑๙ เนื่องจากประชาชนหันไปนับถือศาสนาอิสลาม ต่อมาใน พ.ศ. ๒๓๕๔-๒๓๕๙ อังกฤษชนะสงครามแย่งชิงเกาะชวาจากการครอบครองของประเทศฮอลันดา และใน พ.ศ.๒๓๕๗ ท่านเซอร์โทมัส รัฟเฟิล ผู้ว่าซีอีโอของอังกฤษประจำเกาะชวา ค้นพบโบราณสถานแห่งนี้ และด้วยความสนใจในวิชาโบราณคดีจึงเริ่มโครงการอนุรักษ์ โดยบูรณะระหว่าง พ.ศ.๒๕๑๘-๒๕๒๕ ด้วยการลงขันงบประมาณระหว่างรัฐบาลอินโดนีเซียกับองค์การยูเนสโก และประกาศให้เป็นมรดกโลก ทั้งนี้เป็นที่น่ายินดีว่ารัฐบาลอินโดนีเซียให้การส่งเสริมและความคุ้มครอง ต่อมรดกโลกแห่งนี้อย่างดียิ่ง โดยการใช้กฎหมายอย่างจริงจังต่อผู้ก่อการร้ายเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๔ จับกุมและลงโทษจำคุกตลอดชีวิตแก่ผู้บงการวางระเบิด
๒.วังโปตาลา ตั้งอยู่บนภูเขาทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเอกลาซา เขตปกครองตนเองทิเบต เป็นกลุ่มสถาปัตยกรรมแบบพระราชวังที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและมีความสูงเหนือ ระดับน้ำทะเลสูงที่สุดในโลก สร้างขึ้นในศตวรรษที่ ๗ มี ๑๓ ชั้น มีพื้นที่ ๔๑ เฮกตาร์ มีห้องที่ทำด้วยหินแกรนิตต่างๆ ในวังโปตาลามีเจดีย์ที่เก็บอัฐิของทะไลลามะแต่ละองค์ ตำหนักเจดีย์และโบสถ์สวดมนต์ เจดีย์แต่ละแห่งปิดทองและมีเพชรพลอยต่างๆ เจดีย์ของทะไลลามะองค์ที่ ๕ เป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในวังโปตาลาสูง ๑๔.๘๕ เมตร ใช้ทองคำ ๑.๑๙ แสนตำลึง ไข่มุกเม็ดใหญ่เล็กกว่า ๔,๐๐๐ เม็ด และเพชรพลอยอื่นๆ จำนวนมาก
และ ๓.วิหารโสมะปุระ ที่เมืองพาหะปุระ ๒๐๐ กิโลเมตรทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงธากา ประเทศบังกลาเทศ สร้างโดยพระเจ้าธรรมปาละ ที่ ๒ แห่งราชวงศ์ปาละ ในปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๓ มีขนาดของบริเวณ ๒๘๑x๒๘๑ เมตร สูง ๒๑ เมตร ยื่นข้อเสนอให้เป็นมรดกโลกใน พ.ศ.๒๕๒๗ ตอนแรกมีปัญหาเรื่องการทำอุตสาหกรรมเหมืองแร่ในบริเวณใกล้เคียง ต่อมาจัดให้มีพื้นที่กันชน หรือบัพเฟอร์โซน และมีมาตรการต่างๆ จนองค์การยูเนสโกยอมรับ
เรื่องและภาพไตรเทพ ไกรงู