"สตูล เป็นคำที่มาจากภาษามาลายูว่า สโตย แปลว่ากระท้อน อันเป็นผลไม้ชนิดหนึ่ง ที่ขึ้นอยู่ชุกชุมในท้องที่นี้ ซึ่งต่อมาได้รับการตั้งสมญานามเป็นภาษามาลายูว่า นครสโตยมำบังสการา" (Negeri Setoi Mumbang Segara)
หรือแปลเป็นภาษาไทยว่า "สตูล" เมืองแห่งพระสมุทรเทวา ดังนั้นตรา พระสมุทรเทวา จึงเป็นตราหรือสัญลักษณ์ของ จ.สตูล มาตราบเท่าทุกวันนี้
ประวัติความเป็นมาของ จ.สตูล ในสมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา และในสมัยกรุงศรีอยุธยา ไม่ปรากฏหลักฐานกล่าวไว้ ณ ที่ใด สันนิษฐานว่า ในสมัยนั้นไม่มีเมืองสตูล คงมีแต่หมู่บ้านเล็กๆ กระจัดกระจายอยู่ตามที่ราบชายฝั่งทะเล
ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ สตูลเป็นเพียงตำบลหนึ่ง อยู่ในเขตเมืองไทรบุรี ฉะนั้น ประวัติความเป็นมาของ จ.สตูล จึงเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของเมืองไทรบุรี ดังปรากฏในหนังสือพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒ ว่า
ตามเนื้อความที่ปรากฏดังกล่าวมาแล้ว ทำให้เห็นว่า ในเวลานั้น พวกเมืองไทรเห็นจะแตกแยกกันเป็นสองพวก คือ พวกเจ้าพระยาไทรปะแงรัน พวกหนึ่ง และพวกพระยาอภัยนุราช คงจะนบน้อมฝากตัวกับเมืองนครศรีธรรมราช โดยเฉพาะเมื่อพระยาอภัยนุราชได้มาเป็นผู้ว่าราชการเมืองสตูล ซึ่งเขตแดนติดต่อกับเมืองนครศรีธรรมราช พวกเมืองสตูลคงจะมาฟังบังคับบัญชาสนิทสนมข้างเมืองนครศรีธรรมราชมากกว่าเมืองไทร แต่พระยาอภัยนุราชว่าราชการเมืองสตูลได้เพียง ๒ ปี ก็ถึงแก่อนิจกรรม ผู้ใดจะได้ว่าราชการเมืองสตูล ต่อมาในชั้นนั้น หาพบจดหมายเหตุไม่ แต่พิเคราะห์ความตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลัง เข้าใจว่า เชื้อพระวงศ์ของพระอภัยนุราช (ปัศนู) คงจะได้ว่าราชการเมืองสตูล และฟังบังคับบัญชาสนิทสนมกับเมืองนครศรีธรรมราชอย่างครั้งพระยาอภัยนุราชหรือยิ่งกว่านั้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเรื่องเกี่ยวกับเมืองสตูลยังปรากฏใน หนังสือพงศาวดารเมืองสงขลา แต่ข้อความที่ปรากฏบางตอนเกี่ยวกับชื่อผู้ว่าราชการเมืองสตูล ไม่ตรงกับพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ ประวัติเกี่ยวกับเมืองสตูล ในการจัดรูปแบบการปกครองเมือง ตามระบอบมณฑลเทศาภิบาลว่า ในปี ๒๔๔๐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รักษาเมืองไทรบุรี เมืองเปอร์ลิส และเมืองสตูล เป็นมณฑลเทศาภิบาล เรียกว่า มณฑลไทรบุรี
โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาไทรบุรีรามภักดี เจ้าพระยาไทรบุรี (อับดุลฮามิต) เป็นข้าราชการเทศาภิบาลมณฑลไทรบุรี
เมืองสตูลแยกจากเมืองไทรบุรีอย่างเด็ดขาด ตามหนังสือสัญญาไทยกับอังกฤษ เรื่องปักปันเขตแดนระหว่างไทยกับสหพันธรัฐมาลายู ซึ่งลงนามกันที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ร.ศ.๑๒๗ (พ.ศ. ๒๔๕๒)
จากหนังสือสัญญานี้ ยังผลให้ไทรบุรีและปลิสตกเป็นของอังกฤษ ส่วนสตูลคงเป็นของไทยสืบมาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อปักปันเขตแดนเสร็จแล้ว ได้มีพระราชโองการโปรดให้เมืองสตูลเป็นเมืองจัตวา รวมอยู่ในมณฑลภูเก็ต เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ร.ศ.๑๒๘ (พ.ศ. ๒๔๕๓)
ในปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครอง เป็นระบอบประชาธิปไตย เมืองสตูล ก็มีฐานะยกเป็นจังหวัดหนึ่ง อยู่ในราชอาณาจักรไทยสืบ ต่อมาจนถึงกระทั่งทุกวันนี้
นายช่วงชัย เปาอินทร์ รองผู้ว่าฯ สตูล บอกว่า จ.สตูล มีลักษณะพิเศษอยู่อย่าง คือ การอยู่อาศัยแบบผสมผสานกัน ประชากรร้อยละ ๗๖ นับถือศาสนาอิสลาม ร้อยละ ๒๓ นับถือพุทธศาสนา ส่วนที่เหลืออีก ๑% นับถือศาสนาอื่นๆ และความเชื่อแบบดั้งเดิม
ชนชาติใน จ.สตูล ประกอบด้วย มาลายู ไทยใต้ ชาวเล (มอแกน) และซาไก หรือเงาะป่า แต่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ในทุกพื้นที่
ในจำนวนวัดที่มีอยู่ใน จ.สตูล นั้น วัดชนาธิปเฉลิม ถือว่าเป็นวัดในพระพุทธศาสนาแห่งแรกของจังหวัด ปัจจุบันมี พระครูสุธรรมโสภณ เป็นเจ้าอาวาส และเป็นเจ้าคณะจังหวัด ตั้งอยู่ที่ถนนศุลกานุกูล ต.พิมาน เดิมชื่อ วัดมำบัง สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๕ เป็นที่รวมน้ำใจของชาวพุทธศาสนามาร่วม ๑๐๐ กว่าปี ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น วัดชนาธิปเฉลิม เมื่อ พ.ศ.๒๔๘๒
พระอุโบสถของวัดสร้างเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๓ มีลักษณะเด่นแตกต่างจากพระอุโบสถทั่วไป คือ เป็นอาคารทรง ๒ ชั้น ชั้นล่างก่อด้วยอิฐถือปูน มีลักษณะ เป็นทรง ๒ ชั้น ชั้นล่างก่ออิฐถือปูน ส่วนชั้นบนเป็นอาคารไม้ ด้านหน้าพระอุโบสถเป็นระเบียง มีบันไดทั้ง ๒ ด้าน
พ.ศ.๒๔๗๓ สร้างพระอุโบสถ ชั้นบนสำหรับประกอบพิธีกรรมของสงฆ์ ส่วนชั้นล่างใช้เป็นศาลาการเปรียญ ปัจจุบันได้บูรณปฏิสังขรณ์แล้ว สภาพเดิมที่ยังคงเหลืออยู่ คือ โครงสร้างของพระอุโบสถ และเสาบานหน้าต่าง ซึ่งแกะสลัก รูปเครือเถา
ศาลาการเปรียญ ชั้นบนเป็นอาคารไม้ ใช้ประกอบพิธีกรรมของพระสงฆ์ ด้านหน้าพระอุโบสถเป็นระเบียง มีบันไดสองข้าง เสาบานหน้าต่างแกะสลักเป็นรูปเครือเถา
วัดแห่งนี้จึงเป็นวัดที่หน่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมศิลปกรรมท้องถิ่นจังหวัดสตูล ร่วมกับศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดสตูล โรงเรียนสตูลวิทยา ประกาศเป็นเขตอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ความสำคัญของวัดแห่งนี้อีกอย่างหนึ่ง คือ มวลสารวัตถุจากโบราณสถาน และโบราณวัตถุ ในวัดชนาธิปเฉลิม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ได้ทรงนำมาเป็นส่วนประกอบของ พระสมเด็จจิตรลดา
นายช่วงชัย ยังบอกด้วยว่า นอกจากวัดพุทธจะชื่อมำบัง แล้ว มัสยิดกลาง จ.สตูล ยังใช้ชื่อเดียวกันด้วย คือ มัสยิดมำบัง ตั้งอยู่บริเวณมุมถนนบุรีวานิช และถนนสตูลธานี กลางเมืองสตูล เป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา สร้างขึ้นตั้งแต่สมัย ตนกูมูฮำหมัดอาเก็ม เป็นเจ้าเมืองสตูล (ประมาณ พ.ศ.๒๓๙๒)
ชื่อ มำบัง ตั้งตามชื่อเมืองสตูลในสมัยนั้น ต่อมา พ.ศ.๒๕๑๗ จัดสร้างใหม่ เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก และ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ไปทรงเปิดเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๒๒
ลักษณะรูปทรงมัสยิด เป็นสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ตัวอาคารสีขาว ตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบหินอ่อน และกระจกใส ตัวอาคารแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนนอก เป็นระเบียง มีบันไดขึ้นหอคอย ลักษณะเป็นยอดโดม สามารถมองเห็นทิวทัศน์เมืองสตูลได้ ด้านในเป็นห้องโถงใหญ่ ใช้เป็นที่ละหมาด ชั้นล่างมีห้องใต้ดิน ใช้เป็นห้องสมุด
0 เรื่อง / ภาพ ไตรเทพ ไกรงู 0