ReadyPlanet.com
dot
>...ตั้มศรีวิชัย TumAmulet ...< Thailand Amulet Charms
dot
bulletคำแนะนำจากตำรวจเมื่อถูกโกง
bulletเงื่อนไขการรับประกัน การันตีพระเครื่อง
dot
สารบัญพระเครื่องเมืองนคร
dot
bulletทำเนียบพระกรุเมืองนคร
bulletทำเนียบพระเครื่องเมืองนคร
bulletชมรมพระเครื่อง
dot
บูชาพระเครื่อง เครื่องรางของขลัง Amulets Charms Talismans
dot
bulletตลาดพระ amulet for you
bulletเช่า-บูชา เครื่องรางของขลัง
bulletพระหลวงปู่ทวด วัดต่างๆ
dot
จตุคาม-รามเทพ หลักเมืองนคร Jatukamramtep (Jatukarm)
dot
bulletหลักเมืองนครศรีธรรมราช
bulletจตุคาม ของดีนำมาโชว์
bulletบทความ น่ารู้องค์พ่อจตุคาม
bulletJatukam Amulets
bulletบทความจตุคามรามเทพ
dot
ลิงค์น่าสนใจ
dot
bulletหนังสือพิมพ์
bulletลิ้งค์เพื่อนบ้าน
bulletเทศกาล วันสำคัญ
bulletดวง ดูดวง หน้าหลัก
bulletบทความดีๆ
bulletนิทานสอนใจ
bulletวัฒนธรรมไทย ประเพณีไทย
bulletบทสวดมนต์ สำหรับชาวพุทธ
dot
พระเครื่อง นานาสาระ
dot
bulletพระพุทธรูปสำคัญของไทย
bulletคาถา-อาคม พระคาถาอาคม
bulletพระพุทธรูปปางต่างๆ
bulletพุทธศาสนสุภาษิต
bulletข่าวพระเครื่อง
bulletบทความพระเครื่อง
bulletThai Buddha Amulets
bulletข่าวพระพุทธศาสนา
bulletข่าวเครื่องรางของขลัง
bulletสาระพระเครื่องไทย
bulletประวัติพระวิปัสสนาจารย์




โหราไสย์ในองค์พ่อ (๑) “โหราศาสตร์” พิธีกรรม article

            ฟังชื่อเรื่องที่เขียนแล้วหลายท่านอาจจะรู้สึกแปลกหู อย่างนั้นลองอ่านดูสักหน่อย ว่าสิ่งที่ผมจะนำเสนอจะออกมาในรูปแบบไหน แนวใด ก่อนอื่นคงต้องอธิบายความหมายของคำที่ตั้งเอาไว้เป็นชื่อเรื่องเสียก่อน ว่ามีคำแปล หรือความหมายอย่างใด
     คำว่า “โหราไสย์” มาจากคำสองคำผนวกเข้าด้วยกัน คือ คำว่า โหรา หรือ โหร ที่แปลว่า ผู้ทำนายหรือผู้พยากรณ์โชคชะตา และเหตุการณ์ล่วงหน้า โดยใช้หลักวิชาที่สืบทอดกันมานานหลายพันปี ที่เราเรียกว่า “โหราศาสตร์”

ส่วนคำว่า “ไสย์” หรือ “ไสยา” แปลว่า หลับใหล ซึ่งลักษณะของการหลับใหลนั้น เราไม่อาจควบคุมจิตวิญญาณของเราในขณะนอนหลับได้ เป็นลักษณะของการลุ่มหลง มัวเมาเอาแต่นอน เพราะในขณะที่นอนหลับมักเกิดเกิดอาการฝัน หรือ เห็นในสิ่งต่าง ๆ ยิ่งฝันดีด้วยแล้ว บางคนแทบไม่อยากตื่น หรือตื่นขึ้นมาก็เกิดอาการรู้สึก อยากนอนต่อ ฝันต่อ และในทางตรงกันข้าม หากฝันร้ายล่ะก็ จะทำให้ตกใจตื่น บางคนอกสั่นขวัญแขวน ข่มตาให้หลับขับตานอนต่อไปไม่ได้เลยทีเดียว

แต่ความหมายของคำว่า “ไสย์” ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการนอนหลับแล้วฝัน แต่หมายถึง การลุ่มหลงมัวเมาในสิ่งเร้นลับ ด้วยการศึกษา และใช้วิชาความรู้ในเรื่องเร้นลับมหัศจรรย์ โดยอาศัยการฝึกจิตให้เป็นสมาธิ ก่อให้เกิดพลังที่เรียกว่า “พลังจิต” ควบคู่ไปกับ การใช้เวทมนต์คาถา พิธีกรรมต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุผลในสิ่งที่ตนต้องการ ที่เราเรียกว่า “ไสยศาสตร์”

 

 

คำว่า “องค์พ่อ” ในบทความชุดนี้ ผมหมายถึง “ท้าวจตุคาม และ ท้าวรามเทพ” ที่เรียกรวมกันว่า “องค์พ่อท้าวจตุคามรามเทพ” เทพผู้พิทักษ์รักษาเมืองนครศรีธรรมราช ที่ปรากฏพระนามของพระองค์ท่านในรูปแบบของวัตถุมงคลต่าง ๆ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๐ และโด่งดังได้รับความนิยมอย่างสุดขีดในยุคสมัยปัจจุบัน มีการสร้างและออกให้บูชาตั้งแต่ต้น มาจนถึงปัจจุบัน (เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๐) มากกว่า ๓๐๐ รุ่น และได้มีการจัดสร้าง กำหนดรุ่น วัน เวลา ที่จะประกอบพิธีเทวาภิเษก ปลุกเสก อย่างต่อเนื่องทุกวัน ด้วยการจองคิวที่ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช จนถึงสิ้นปี พ.ศ.๒๕๕๐ อีกประมาณ ๒๐๐ รุ่น ซึ่งแต่ละรุ่น มีจำนวนวัตถุมงคล อยู่ในหลักหมื่น ถึงแสนองค์ ใครอยากรู้ว่าจำนวนที่ออกมาแล้วเท่าไร และจะออกมาอีกเท่าไร ก็ลองบวกลบคูณหารกันเอาเอง แม้กระนั้นก็ตาม ใช่ว่าจะเพียงพอกับความต้องการของศรัทธามหาชน ถึงกับมีการแย่งกันจองจนเหยียบกันตาย ขายใบจองเพื่อหากำไร แม้กระทั่ง ออกใบจองปลอม ผลิตของปลอมออกมาจำหน่ายจ่ายแจกเป็น “เทวพาณิชย์” ก็ปรากฏเป็นข่าวออกมาเนือง ๆ

 

สรุปความหมายของคำว่า “โหราไสย์ในองค์พ่อ” ก็คือ เรื่องราวเกี่ยวกับโหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ ทีมาเกี่ยวข้องพัวพันกับการสร้างวัตถุมงคล หรือ ด้วยการบรรจุ หรือ จารึกไว้ในวัตถุมงคลขององค์พ่อท่านท้าวจตุคามรามเทพ ซึ่งผมจะได้รวบรวมเรียบเรียง จากหนังสือตำรับตำราทางโหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ บทความต่าง ๆ จากสื่อข้อเขียนทั้งในวารสาร และอินเทอร์เน็ต มาให้ท่านผู้อ่านได้พิจารณากัน อ่านแล้วลองใช้ปัญญาพิจารณาตรึกตรอง ถึงความเป็นไปได้มากน้อยเพียงไร แล้วค่อยตัดสินใจด้วยตัวท่านเองว่า “ควรเชื่อหรือไม่”

 

เริ่มต้นด้วยการอธิบายเรื่องราวของโหราศาสตร์กันก่อน ว่าเข้ามามีบทบาทในเรื่องนี้อย่างใด เรื่องของโหราศาสตร์นั้น ไม่ได้มีเฉพาะการพยากรณ์อย่างเดียว แต่ยังมีภาคการคำนวณ เช่น การผูกดวง การหาฤกษ์ยาม ฯลฯ และยังมีการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น การขึ้นบ้านใหม่ การสร้างบ้านแปลงเมือง ด้วยการสร้างเสาหลักเมือง หรือ บรรจุดวงเมือง, การโกนจุก, การตัดไม้ข่มนาม, การ ตั้งศาลพระภูมิ ฯลฯ ซึ่งการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ต้องใช้วิชาความรู้ในเรื่องของอาถรรพณ์ และไสยศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในการสร้างศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๓๐ นั้น มีพิธีกรรมทางด้านโหราศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องกับการสร้างศาลหลักเมืองอย่างมากมาย ซึ่งผมจะขอคัดลอกบทความจากเวปไซด์ “หลักเมือง ๓๐” มาให้อ่านกัน ดังนี้

 

ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราชอันเป็นที่ประดิษฐานหลักเมืองของจังหวัดนครศรีธรรมราช สร้างขึ้นตามข้อเสนอแนะ ของคณะกรรมการสร้างสิ่งที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ประกอบด้วยคณะกรรมการหลายฝ่าย ทั้งภาครัฐ พ่อค้า ประชาชน ในที่ดินของราชพัสดุ บริเวณทิศเหนือของสนามหน้าเมือง มีเนื้อที่ประมาณ ๒ ไร่

อาคารหลัก ประกอบไปด้วยอาคาร ๕ หลัง หลังกลางเป็นที่ประดิษฐานหลักเมือง ลักษณะของการออกแบบมีศิลปะคล้ายศิลปะศรีวิชัย วางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๒ ส่วนอาคารเล็ก ๔ หลัง ถือเป็นบริวารประจำทิศทั้ง ๔ เรียกว่า ศาลจตุโลกเทพ ประกอบด้วย พระเสื้อเมือง , พระทรงเมือง, พระพรหมเมือง, และ พระบันดาลเมือง วางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ เสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ผู้ออกแบบอาคารศาลหลักเมืองคือ ยุทธนา โมรากุล

 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้า ฯ ให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จ ฯ มาทรงเปิดอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๔๓

การก่อสร้างศาลหลักเมืองของนครศรีธรรมราช ใช้เวลาดำเนินการตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จสมบูรณ์เป็นเวลาสิบกว่าปี เหตุที่ล่าช้าเนื่องมาจาก การดำเนินการแต่ละขั้นตอน ประกอบด้วยพิธีกรรมสำคัญ ๆ หลายครั้ง ต่างวาระอย่างต่อเนื่อง บางพิธีกรรมจำเป็นต้องใช้ระยะเวลา

ย้อนกลับไปเมื่อช่วงประมาณปีพุทธศักราช ๒๕๒๘ พื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้เกิดปัญหาอาชญากรรม อิทธิพลอำนาจมืด และนับวันจะเพิ่มทวีความรุนแรงขึ้น รัฐบาลภายใต้การนำของ ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.สิทธิ์ จิระโรจน์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เร่งรัดให้กรมตำรวจ คัดเลือกนายตำรวจฝีมือดีไปแก้ไขปัญหาโดยด่วน

พันตำรวจเอก สรรเพชญ ธรรมาธิกุล (ยศ ขณะนั้น) คือ นายตำรวจที่ได้รับการคัดเลือกในครั้งนั้นให้ไปดำรงตำแหน่ง ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อปราบปรามโจรผู้ร้าย และเหล่ากลุ่มอิทธิพลอำนาจมืดทั้งหลาย

วันหนึ่ง ณ วัดนางพระยา บ้านปากนคร เทวดารักษาเมือง (องค์จตุคามรามเทพ) ได้สร้างความอัศจรรย์ด้วยการประทับทรง นายอะผ่อง สกุลอมร บอกกล่าว ต้องการให้ช่วยสร้างหลักเมือง ทำจากไม้ตะเคียนทอง งอกอยู่ทางทิศเหนือของเมืองนครศรีธรรมราช

องค์จตุคามรามเทพ บอกและอธิบายอีกว่า..ในตอนนี้เราต้องทำพิธีกรรมก่อน มีหลายพิธีที่ต้องใช้เวลา เช่น พิธีกรรมเทพชุมนุมตัดชัย ทำในวิหารหลวง ให้ปักธงศรีวิชัยขึ้นห่มพระธาตุ เป็นนัยว่าเราเปิดธงรบกับพวกเหล่าร้าย เช่น พวกโจร หรืออาถรรพณ์จัญไรต่าง ๆ ที่รบกวนเมืองนครฯ

และคณะดำเนินการสร้างศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช ตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๒๘ เป็นต้นมา ได้มีการประกอบพิธีกรรมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งส่วนใหญ่ดำเนินไปตามคำบอกกล่าวของเทวดารักษาเมืองหรือ องค์จตุคามรามเทพทุกขั้นตอนเป็นลำดับ

พิธีกรรมต่างๆ ในวาระการสร้างหลักเมือง นครศรีธรรมราช มีดังนี้

๑. พิธีกรรมเผาดวงชะตาเมือง กระทำที่ป่าช้าวัดชะเมา ต.ท่าวัง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช เป็นการล้างอาถรรพณ์ดวงชะตาเมืองเดิม ซึ่งเรียกว่า ดวงราหูชิงจันทร์ หรือ ดวง พินธุบาทว์ ลักษณะดวงดาวเสาร์ ซึ่งเป็นดวงภัยเล็งจุดกำเนิด วางดาวอังคารให้อยู่ในภพที่ห้า เจ้าของดวงชะตาเช่นนี้เหมือนถูกสาป อาภัพอัปภาคย์ บ้านแตกสาแหรกขาด ต้องโทษทัณฑ์ไม่หยุดหย่อน เดือดร้อนไม่มีที่สิ้นสุด บ้านเมืองเจริญอยู่ได้ไม่นาน ก็ต้องเสื่อมทรามตกต่ำลง การเผาดวงชะตาในครั้งนี้ ใช้ เพชฌมาตฤกษ์ คือ เลยเที่ยงคืนไป ๑ นาที ของปลายปี พ.ศ. ๒๕๒๘

๒. พิธีลอยชะตาเมือง เพื่อทำลายดวงชะตาเมืองเดิม ทำแพจากต้นกล้วยเถื่อน (กล้วยไม้) , เก็บดิน ๔ มุมเมือง , น้ำ ๕ ท่า , ดาบเก่า ๔ เล่ม , รูปคนทำด้วยดินปั้น ๔ รูป , เสาไม้ตะเคียนทอง ๑ ต้น , พญาโหรา เรียกอาถรรพณ์จัญไร บรรจุลงต้นตะเคียนทอง เสกคาถาลงยันต์ครบถ้วนแล้วนำไปลอยที่ปากน้ำปากนคร

๓. พิธีกรรมสะกดหินหลัก กระทำที่บริเวณฐานพระสยม ตลาดท่าชี ต.ใน เมือง หินหลักเป็นสิ่งที่พวกพราหมณ์ดั้งเดิม ฝังอาถรรพณ์เสนียดจัญไรเอาไว้ ซึ่งสร้างความวิบัติเสื่อมเสียแก่เมืองนครศรีธรรมราชตลอดมา

๔. พิธีปลุกยักษ์วัดพระบรมธาตุ ยักษ์ ๒ ตน ที่บันไดทางขึ้นองค์พระบรมธาตุ ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาทำหน้าที่รักษาบ้านเมือง หลักจากถูกอาถรรพณ์สะกดมานาน นอกจากนั้นยังปลุกพระมหากัจจายนะ พระปัญญา พระพาย และเทวดาอีกด้วย

๕. พิธีปลุกพระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระทั้งสององค์สถิตอยู่ ณ หอพระพุทธสิหิงค์ ซึ่งหลับใหลมานานปี ให้ตื่นขึ้นมาช่วยบ้านเมือง

๖. พิธีกรรมพลิกธรณี กระทำ ที่ริมรั้วป่าช้าวัดชะเมา พลิกดินที่ชั่วร้ายสกปรกฝังไว้เบื้องล่าง เอาดินดีขึ้นมาไว้เบื้องบน เพื่อบ้านเมืองจะได้ร่มเย็นเป็นสุข เจริญรุ่งเรืองต่อไปในวันข้างหน้า 

 

 

๗. พิธีกรรมเทพชุมนุมตัดชัย กระทำที่วิหารหลวง วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.. ๒๕๒๙ เวลา ๑๒.๓๙ น. ตรง กับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๗ ค่ำ เดือนยี่ ปีฉลู นับเป็นพิธีกรรมสำคัญยิ่ง ดำเนินการตามแบบอย่างของชาวเมืองสิบสองนักษัตร์โบราณ จากคำบอกกล่าวของพญาหลวงเมือง การทำพิธีครั้งนั้นมี พระเทพวราภรณ์ (พระธรรมรัตโนภาส ในปัจจุบัน) เป็น ประธานฝ้ายสงฆ์ พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นประธารฝ่ายฆราวาส จุดมุ่งหมายของพิธีกรรมนี้นอกจากเพื่อสร้างสวัสดิมงคลแก่จังหวัดนครศรีธรรม ราช จากการเจริญพระพุทธมนต์ และแสดงพระธรรมเทศนาของพระสงฆ์แล้ว เทวดารักษาเมือง ยังมาชุมนุมเสกผ้ายันต์สิบสองนักษัตรจำนวน ๓,๐๐๐ ผืน เขียนผ้ายันต์จำนวน ๑๐๘ ผืน และประกาศบอกกล่าวแก่ผู้คนให้มาช่วยกันสร้างศาลหลักเมือง

๘. พิธีกรรมตอกหัวใจสมุทร เพื่อให้ดวงชะตาเมืองถูกบรรจุด้วยธาตุทั้ง ๔ กระทำ ณ สี่แยกคูขวาง เมื่อวันพุธที่ ๕ กุมภาพันธ์ พ.. ๒๕๒๙ ตรงกับแรม ๑๒ ค่ำ เดือนยี่ เวลาประมาณ ๑๘.๓๐ น. โดยนายอเนก สิทธิประศาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมัยนั้น เป็นประธานแทน ฯพณฯ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ การที่เลือกบริเวณกลางสี่แยกคูขวาง เป็นจุดตอกหัวในสมุทร เพราะจุดดังกล่าวได้ศูนย์กับองค์พระธาตุ ภูเขามหาชัย และได้ศูนย์กับทิศทั้ง ๘ ตามตำราของชาวเมืองสิบสองนักษัตร

๙. พิธีฝังหัวใจเมือง กระทำเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม พ.. ๒๕๒๙ ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๔ ปีฉลู เวลา ๑๑.๓๙ น. ณ จุดตอกหัวใจสมุทร ด้วยการขุดหลุดลึก ๙ ศอก (ลึกจนถึงน้ำ) เจ้า พิธีอ่านโองการ อุปกรณ์พิธีกรรมฝังหัวใจเมือง ประกอบด้วยสิ่งของ ๗ ชนิด คือ หัวใจเมืองทำด้วยดินเผาผสมทรายหาดทรายแก้ว จากวัดพระบรมธาตุ จำนวน ๗ ชิ้น แต่ละชิ้นกว้าง ๙ นิ้ว ยาว ๙ นิ้ว หนา ๒ นิ้ว เขียนดวงชะตาเมือง หัวใจเมือง มีอยู่ ๓ ชิ้นที่ได้นำเอาโลหะมงคล ทอง นาก เงิน (สามกษัตริย์) ปิดหน้าคั่นกลางระหว่างแผ่นหัวใจเมือง แผ่นไม้ตะเคียนทอง กว้างและยาว ๑๒ นิ้ว รองรับแผ่นหัวใจเมือง

แผ่นไม้นี้ องค์ จตุคามรามเทพกรีดโลหิตเขียนคาถาอาคม หัวใจพ่อ หัวใจแม่ ทำจากไม้ตะเคียนทอง กลึงเป็นรูปบัวตูมยาวประมาณ ๑ ศอก จำนวน ๒ อัน ฝังลงในหลุมรวมกับแผ่นหัวใจเมือง ดินจากทุกตำบล ทุกหมู่บ้านในเมืองสิบสองนักษัตร ที่ประชาชนนำมาใส่ลงในหลุมด้วย วัตถุธาตุแทนธาตุ ๔ ประกอบด้วย ถ่าน (แทนธาตุไฟ) , เกลือ (แทนธาตุน้ำ) , ข้าวเปลือก (แทนธาตุลม) , ทราย (แทนธาตุดิน) , พญาไม้มงคล ๙ ชนิด ได้แก่ ราชพฤกษ์ , ชัยพฤกษ์, กันเกรา, สัก, ทรงบาดาล, พยุง, ทองหลาก หรือทองหลาง, ไผ่สีสุก และขนุนทอง, ผ้าสี ๑๒ ผืน ผืนล่ะสี วางก้นหลุมเป็นลำดับแรก ทุกอย่างใส่ลงในหลุมทั้งหมด (ยังมีต่อ)

            ๑๐. พิธีกรรมประติมากรรม (แกะสลัก) ได้แกะสลักหลักเมืองด้วย ไม้ตะเคียนทองทั้งต้น ซึ่งได้มา จากเขายอดเหลือง ในท้องที่ตำบลกะหรอ อำเภอท่าศาลา (ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอนบพิตำ) มีลักษณะแปลก คือ บริเวณรอบโคน มีลักษณะเตียนโล่ง ซึ่งเรียกว่า ลานนกหว้า หรือ ตะเคียนใบกวาด การแกะสลักทำที่บ้านพัก ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราชขณะนั้น คือ พ.ต.อ.สรรเพชร ธรรมาธิกุล

       

      

 

            ๑๑. พิธีเบิกเนตรหลักเมือง กระทำกันต่อเนื่องถึง ๓ วัน คือ วันที่ ๓- ๕ มีนาคม พ.. ๒๕๓๐ วันที่ ๓ มีนาคม อัญเชิญหลักเมืองที่แกะสลักเรียบร้อยแล้ว  ไป ประดิษฐานที่วิหารหลวง วัดบรมธาตุ หลังจากพระเถระเจริญพระพุทธมนต์ และเจ้าพิธีรำกระบี่โบราณถวายสักการะแล้ว ก็ เคลื่อนขบวนแห่ไปตามถนนราชดำเนิน ไปยังตลาดท่าวัง แล้ววกกลับสู่สนามหน้าเมือง อัญเชิญหลักเมืองขึ้นสู่สนามหน้าเมือง อัญเชิญหลักเมืองเมืองขึ้นสู่ที่ประดิษฐานชั่วคราว ให้ประชาชนสักการะ ขบวนช้าง – ม้า ศิลปินพื้นบ้านกลุ่มพลังมวลชนต่าง ๆ วงดุริยางค์ และ ประชาชนจากทั่วสารทิศ ขบวนยาวประมาณ   กิโลเมตร ประชาชนคอยชมขบวนมืดฟ้ามัวดิน เป็นประวัติการณ์

วันที่ ๔ มีนาคม พ.. ๒๕๓๐ เวลา ๑๐.๓๐ น. พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมารับมอบหลักเมืองเป็นของทางราชการ

 

 

 

วันที่ ๕ มีนาคม พ.. ๒๕๓๐ ตอนค่ำมีพิธีสงฆ์ จากนั้นเจ้าพิธีคือ พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช  อ่านโองการเชิญเทวดา ต่อมาท่านประธาน (สัมพันธ์ ทองสมัคร) จุด เทียนชัย เจ้าพิธีทำพิธีเบิกเนตรหลักเมืองทั้ง ๘ ทิศ อันเป็นการประจุจิตวิญญาณของเทวดารักษาเมือง เข้าไปสิงสถิตภายในเสาหลักเมือง ให้สามารถรับรู้เหตุการณ์ และคุ้มครองดูแลได้รอบทิศ จากนั้นมีการจุดพลุถวายสักการะ มีข้าราชการพ่อค้า และประชาชน ร่วมปิดทองสักการะเป็นเสร็จพิธี

 

  

 

๑๒. พิธีการ เจิมยอดชัยหลักเมือง เป็นพิธีกรรมที่สำคัญยิ่ง และถือเป็นมงคลสูงสุด คือ ทรงเจิมยอดชัยหลักเมือง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปลัดกระทรวง มหาดไทย (นายพิศาล มูลศาสตร์สาทร) นำคณะอันประกอบด้วย รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นายอำนวย ไทยานนท์) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายสัมพันธ์ ทองสมัคร ) ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (นายกำจร สถิรกุล) เลขาธิการคณะรัฐมนตรี (นายอนันต์ อนันตกูล) วุฒิสมาชิก (นายศิริชัย บุลกุล) พร้อม ด้วยข้าราชการ และประชาชน ผู้ร่วมจัดสร้างศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท นำยอดชัยหลักเมืองเพื่อทรงเจิม ในวันที่ ๓ สิงหาคม พ.. ๒๕๓๐ ยอดชัยหลักเมืองที่ทรงเจิมในวันนั้น นอกจากของจังหวัดนครศรีธรรมราชแล้วยังมีหลักเมืองจังหวัดชัยนาท และจังหวัดศรีสะเกษอีกด้วย

นายสัมพันธ์ ทองสมัคร ได้บันทึกเหตุการณ์วันนั้นไว้ มีความตอนหนึ่ง ดังนี้

“........คราว นั้น คณะกรรมการสร้างหลักเมืองได้นำวัตถุมงคลที่สร้างขึ้นตามแบบแผนโบราณ จำนวน ๑๓ ชิ้น พร้อมด้วยภาพถ่ายหลักเมือง น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายในวันนั้นด้วย

ผมเองเป็นกังวลใจมาก เพราะ ว่าบุคคลซึ่งเตรียมไว้ว่า จะต้องทำหน้าที่กราบบังคมทูล คือ ท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช เจ้าพิธีโดยตรง แต่ก่อนหน้าจะถึงกำหนดเข้าเฝ้า ฯ ท่านขุนพันธ์เกิดป่วย ไม่สามารถจะเข้าเฝ้าได้ ทางจังหวัด โดยท่านรอง ฯ อำนวย ไทยานนท์ ได้ขอร้องให้ผมไปทำหน้าที่แทน แต่ผมกังวลใจ เพราะไม่ทราบเรื่องราวของวัตถุมงคล ๑๓ ชิ้น ว่ามีความเป็นมาอย่างไร

ท่านปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้อ่านคำกราบบังคมทูล และได้กล่าวถึงวัตถุมงคล ที่ได้สร้างในพิธีกรรมสร้างศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราชด้วย เมื่อทรงพระสุหร่าย และทรงเจิมยอดเสาหลักเมืองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทรงมีรับสั่งให้ตามเสด็จไปยังบริเวณที่วางวัตถุมงคลที่จะนำขึ้นทูลเกล้า ฯ

ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งว่า หลักเมืองกรุงเทพ ฯ นั้น คนนคร ฯ ก็มาช่วยสร้างเหมือนกัน เพราะเขาเข้าใจเรื่องการสร้างหลักเมือง มีเทวดาเหาะรอบ ๆ ยอดเสาหลักเมืองอยู่ ๘ องค์ แต่หลักเมืองนคร ฯ ที่สร้างขึ้นครั้งนี้ เทวดาไม่ได้เหาะ แต่แกะสลักไว้ที่ยอดเสาหลักเมือง ให้เฝ้าทิศทั้งแปด

 

จากนั้นได้ทอดพระเนตรวัตถุมงคลทุกชิ้น พร้อมกับทรงอธิบายให้ผมฟังถึงความเป็นมา และการใช้สอยเกี่ยวกับวัตถุมงคลแต่ละชิ้นได้อย่างลึกซึ้ง ประหนึ่งทรงอยู่ในเหตุการณ์ด้วย เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจในพระปรีชาญาณยิ่งนัก”

๑๓. พิธีแห่ยอดชัยหลักเมือง กระทำวันที่ ๔ สิงหาคม พ.. ๒๕๓๐ เป็นการต้อนรับยอดชัยหลักเมือง ซึ่งคณะฯ โดยการนำของรองผู้ว่าราชการจังหวัด (นายอำนวย ไทยานนท์) นำมาจากกรุงเทพมหานคร โดยแห่จากสนามบินกองทัพภาคที่ ๔ มายังสนามหน้าเมือง มีขบวนช้างศึก ม้าศึก และประชาชนจำนวนมาก

๑๔. พิธีอัญเชิญหลักเมืองขึ้นสู่ศาลถาวร โดยผู้ว่าราชการจังหวัด (นายนิพนธ์ บุญญภัทโร) เป็นประธาน

๑๕. พิธีสวมยอดชัยหลักเมือง เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.. ๒๕๓๑ โดยพลเอก สุจินดา คราประยูร (รองผู้บัญชาการทหารบก ตำแหน่งในสมัยนั้น)

๑๖. พิธีเททองปลียอดศาลหลักเมือง และศาลบริวาร เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.. ๒๕๔๑ โดยมีนาย บัญญัติ บรรทัดฐาน ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เป็นประธานในพิธี

จากขั้นตอนพิธีกรรมต่าง ๆ ในการสร้างศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช ที่ได้นำมาเสนอ เราจะเห็นได้ว่า พิธีกรรมและขั้นตอนส่วนใหญ่ นอกจากจะใช้ไสยศาสตร์ พุทธเวทวิทยาคมในการประกอบพิธีแล้ว ทุกพิธีกรรมที่สำคัญ จะต้องกำหนดฤกษ์ยามที่จะทำการนั้น ๆ ให้ถูกต้อง ตามแบบแผนโบราณที่ได้กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด มิเช่นนั้น ภัยพิบัติจะตามมาในภายหลัง แต่ถ้าทำทุกสิ่งทุกอย่างถูกต้องตามหลักวิชาโหราศาสตร์  และไสยเวทวิทยาคมแล้วล่ะก็  จะนำซึ่งความสุขสวัสดิ์ พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลแก่ผู้ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของฤกษ์ยาม และพิธีกรรมต่าง ๆ นั้นอย่างแน่นอน

และความจริงก็ได้ปรากฎให้เห็นในยุคสมัยปัจจุบันแล้วว่า เมืองนครศรีธรรมราช ภายหลังที่ได้บรรจุดวงเมืองขึ้นมาใหม่แล้ว เกิดอะไรขึ้นมาบ้างในระยะ ๒๐ ปีที่ผ่านมา เราจะเห็นได้ชัดเจน ถึงความผาสุก สงบร่มเย็น ประชาชนอยู่ดีมีสุข ยิ่งเศรษฐกิจเมืองนคร ฯ ในยุคที่ผู้คนนิยมในวัตถุมงคลในองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ ทั่วบ้านทั่วเมือง กระจายไปยังคนไทย ลาว เขมร และชาวพุทธทั่วโลก ชนิดฉุดไม่ยั้ง รั้งไม่อยู่ กู่ไม่กลับด้วยแล้ว มีเม็ดเงิน หรือกระแสเงินสะพัด ไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านบาทต่อเดือนเชียวแหละครับ

เรื่องอะไรก็ตามหากต้องเกี่ยวพันกับผู้คนส่วนมาก ทุกผู้คนในบ้านเมือง หรือประเทศชาติแล้วล่ะก็  ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ที่จะมาทำกันเล่น ๆ  หรือทำกันแบบง่าย ๆ รวก  ๆ แบบสุกเอาเผากิน ยิ่งการสร้างบ้านแปลงเมือง การย้ายเมือง การสร้างเมืองใหม่ ที่จะต้องมีการสร้างเสาหลักเมือง มีการบรรจุดวงเมือง หรือ ฝังหัวใจเมืองแล้วไซร้ จะต้องเป็นเรื่องของพระมหากษัตริย์ผู้ปกครองประเทศ  หรือ ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินโดยเฉพาะ และขั้นตอนพิธีกรรมต่าง ๆ จะต้องใช้ผู้รู้ในทางโหราศาสตร์ และไสยเวทวิทยาคม ที่เข้าใจแบบแผนพิธีการต่าง ๆ อย่างถูกต้อง จึงจะทำได้สำเร็จ ไม่เกิดทุกข์ภัยตามมาในภายหลัง

ในประวัติศาสตร์ชาติไทยของเรา มีการย้ายเมืองหลวง หรือ ตั้งราชธานีขึ้นมาใหม่ และได้มีการฝังเสาหลักเมือง บรรจุดวงเมืองหลายครั้งหลายครา เท่าที่เห็นและปรากฏเด่นชัด ก็คือ ดวงเมืองกรุงศรีอยุธยา ที่พระเจ้าอู่ทอง ท่านทรงสถาปนาดวงเมืองขึ้นมาใหม่ ย้ายเมืองหลวงจากที่เก่ามาสู่ที่ใหม่ , ดวงเมืองบางกอก ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ทรงสถาปนาขึ้นมา หลังจากการล่มสลายของกรุงศรีอยุธยา และการสิ้นสุดกรุงธนบุรี

กรุงธนบุรี เมื่อแรกเริ่มประดิษฐานบ้านเมือง ใช้เป็นราชธานีแห่งใหม่แทนกรุงศรีอยุธยานั้น ไม่ได้มีการสร้างบ้านเมืองตามแบบแผนโบราณ ด้วยการฝังเสาหลักเมือง หรือ บรรจุดวงเมือง แต่อย่างใด ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะอยู่ในขณะที่บ้านเมืองของไทยเรา แตกกระสานซ่านเซ็นเป็นก๊กเป็นเหล่าต่าง ๆ ถึง ๕ ชุมนุม ต้องทำสงครามกับคนไทยด้วยกันเอง ทั้งนี้เพื่อรวบรวมคนไทยให้เป็นปึกแผ่นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน นอกเหนือไปจากการทำสงครามกับพม่า ลาว เขมร ตลอดรัชสมัยของพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งมีวาระกาลเพียง ๑๕ ปี เท่านั้น

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระองค์ทรงเห็นความสำคัญของการตั้งราชธานีแห่งใหม่ และทรงกระทำทุกวิถีทาง ที่จะรักษาบ้านเมืองของไทยเรา ไม่ให้ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า หรือประเทศอื่น ๆ ดังนั้น จึงทรงสถาปนาดวงเมืองบางกอกขึ้น เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๓๒๕ เวลา ๑๑.๕๔ น.ซึ่งดวงเมืองบางกอกของไทยที่สถาปนาขึ้น มีทั้งข้อดีข้อเสียคละเคล้ากันไป ข้อดีส่วนใหญ่ จะมุ่งไปยังการรักษาบ้านเมือง และรักษาราชวงศ์จักรีให้คงอยู่ตลอดกาลนาน ส่วนข้อเสีย จะเป็นเรื่องของการปฏิวัติรัฐประหาร การแย่งชิงอำนาจกันเองในหมู่คนไทย การถูกครอบงำโดยเผด็จการทหาร การคอรัปชั่น โกงกินบ้านเมือง ซึ่งจะส่งผลทำให้ประเทศชาติของเรา ต้องล่มสลายทางเศรษฐกิจได้

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรี พระองค์ท่านทรงมีพระราชปรีชาในด้านโหราศาสตร์ และศาสตร์ต่าง ๆ อย่างมากมาย พระองค์ทรงตระหนักถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นมาจากดวงเมืองบางกอกในสมัยรัชกาลที่ ๑ เป็นอย่างดี จึงทรงหาวิธีการแก้ไข เท่าที่จะทำได้ในขณะนั้น จึงได้มีการสถาปนาดวงเมืองบางกอกขึ้นมาใหม่อีกหนึ่งดวง เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๓๙๕ เวลา ๑๑.๑๙ น.ซึ่งดวงเมืองบางกอกใหม่นี้ ได้ประดิษฐานคู่กับดวงเมืองบางกอกเก่า ที่ยังไม่ได้มีการรื้อถอน หรือทำลายให้สิ้นสุด ยังคงมีอิทธิพลต่อบ้านเมืองของไทยเราอยู่จนทุกวันนี้ และการที่สถาปนาดวงเมืองขึ้นมาใหม่ ก็เพื่อช่วยเหลือสนับสนุนดวงเมืองเก่าให้บังเกิดผลดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความมั่นคงของประเทศชาติ และราชวงศ์จักรี ทำให้ไทยเราหลุดพ้นจากการล่าอาณานิคมของอังกฤษและฝรั่งเศสมาได้ และราชวงศ์จักรีของไทยเรา ไม่มีการแก่งแย่งชิงอำนาจกันเอง ไม่มีผู้ใดจะมาล้มล้างลงไปได้ แม้ว่าจะอยู่ในภาวะที่ล่อแหลมอย่างมาก ในสมัยรัชกาลที่ ๕ และรัชกาลที่ ๗ ก็ตาม

ย้อนกลับมายังดวงเมืองนครศรีธรรมราช ที่ชาวนครศรีธรรมราชสร้างประวัติศาสตร์ ด้วยการเผาดวงเมืองเก่า และสร้างดวงเมืองขึ้นมาใหม่ ในช่วงปลายปี พ.ศ. ๒๕๒๘ เป็นต้นมา จนมาสิ้นสุดพิธีกรรมขั้นตอนสุดท้าย ในปี พ.ศ.๒๕๔๑ ใช้เวลายาวนานถึง ๑๓ ปี แม้การประกอบพิธีกรรมตามขั้นตอนต่าง ๆ จะไม่ได้ริเริ่ม และดำเนินการจากองค์พระมหากษัตริย์ผู้ปกครองประเทศ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ แห่งราชวงศ์จักรีโดยตรง แต่การริเริ่มและดำเนินการ ก็เกิดขึ้นจากผู้เป็นใหญ่ในบ้านเมือง คือ จังหวัดนครศรีธรรมราชในขณะนั้น โดยตั้งคณะกรรมการขึ้นมา ประกอบไปด้วยบุคคลหลายฝ่าย ทั้งข้าราชการ ตำรวจ ทหาร พ่อค้า ประชาชนทั่วไป ร่วมกันดำเนินการต่าง ๆ

และที่สำคัญ ผู้ที่มีความประสงค์ในการเผาดวงเมืองเก่า สร้างดวงเมืองใหม่ที่แท้จริงก็คือ องค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ พระเสื้อเมือง พระทรงเมืองของเมืองนครศรีธรรมราช ที่ทรงประทับร่าง ผ่านร่างทรง และได้ทรงกำหนดขั้นตอนพิธีกรรมต่าง ๆ อย่างถูกต้องตามแบบแผนโบราณอาณาจักรศรีวิชัย ให้กับคณะผู้ดำเนินการ ก็เท่ากับ การประกอบพิธีกรรมการสร้างเสาหลักเมืองใหม่ บรรจุดวงเมืองใหม่ กระทำโดยองค์พระมหากษัตรยิ์ เพราะพระองค์ท่านทั้งสอง ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ปกครองอาณาจักรศรีวิชัย และทรงสถาปนาดวงเมืองดังกล่าวขึ้นมา...

 

 

 เมื่อทรงเห็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้นของดวงเมือง และส่งผลมายังบ้านเมือง พสกนิกรของพระองค์ จึงทรงมีพระราชดำริที่จะแก้ไข แม้กระทำไม่ได้ในรัชสมัยของพระองค์ที่ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ ดวงพระวิญญาณก็มิได้ทรงเสด็จไปไหน ยังคงสิงสถิตย์อยู่ในพระบรมรูปของพระองค์ที่วิหารทรงม้า ตรงบันไดทางขึ้นลานประทักษิณ พระบรมธาตุเจดีย์เมืองนครศรีธรรมราช เพื่อรอคอยบุคคลที่จะมาทำการแก้ไขให้ เป็นระยะเวลายาวนานนับพันปี และทุกอย่างก็เป็นไปตามพระราชประสงค์ของพระองค์ท่านทั้งสองทุกประการในกาล ต่อมา (อ่านต่อฉบับหน้า)...โดย www.sereechai.com




บทความ ข่าวสารองค์พ่อจตุคาม

ผ้ายันต์กู้วิกฤต องค์พ่อ"จตุคามรามเทพ"
โหราไสย์ในองค์พ่อ (๒) ปาฏิหาริย์ ณ วัดนางพระยา article
โหราไสย์ในองค์พ่อ (๓) ดวงเมืองนครศรีธรรมราช article
โหราไสย์ในองค์พ่อ (๔) รอมาตั้งพันปี article
โหราไสย์ในองค์พ่อ (๕) เผาดวงชะตาเมือง article
โหราไสย์ในองค์พ่อ (๖) พิธีกรรมต่างๆ article
โหราไสย์ในองค์พ่อ (๘) ตอกหัวใจสมุทร ฝังหัวใจเมือง article
โหราไสย์ในองค์พ่อ (๙) article
โหราไสย์ในองค์พ่อ (๑๐)พิธีกรรมประติมากรรม article
โหราไสย์ในองค์พ่อ (๑๑) article
โหราไสย์ในองค์พ่อ (๑๒) article
โหราไสย์ในองค์พ่อ (๑๓) article
โหราไสย์ในองค์พ่อ (7) เทพชุมนุมตัดชัย article
โหราไสย์ในองค์พ่อ (๑๔)อาณาจักรตามพรลิงค์ article
โหราไสย์ในองค์พ่อ (๑๖) โดย อ.เล็ก พลูโต article
โหราไสย์ในองค์พ่อ (๑๕) โดย อ.เล็ก พลูโต article
พิธีกรรม จำนวนสร้าง ฤกษ์ยาม อาถรรพ์เเห่งเหรียญเเสตมป์ปี 30 article
ลับสุดยอดถอดรหัสขี้ผึ้งศรีวิชัยปี30 article
ถอดรหัสผ้า ยันต์นาคราช article
ลับสุดยอดกับผ้ายันต์ราหูจร article
ใครว่าไม่มีพระสงฆ์ปลุกเสกในปี30 - ดูยอดพระคาถาบูชาองค์พ่อจตุคามฯ article
เหรียญแสตมป์ ปี30 พิมพ์มีหู
เหรียญแสตมป์ ปี30 แยกบล็อก article
เหรียญปิดตาพังพระกาฬ ปี32 สุดยอดแห่งเหรียญสายจตุคามรามเทพ
พระราหูโพธิสัตว์ (๑) โดย อ.เล็ก พลูโต article
เปิดตำนาน เปิดใจ สัมพันธ์ ทองสมัคร article
สัมพันธ์ ทองสมัคร อีกหนึ่งตำนาน...จตุคามฯ ปี ๓๐ article
เมื่อ...จตุคามฯ"ประทับยืน" article
อ.มนตรี จันทพันธ์ ผู้ออกแบบจตุคามฯปี ๓๐ ตัวจริง article
หลอกพระ - โกงเทวดา ผลกรรมจะตามสนอง article
ผู้ตัดไม้ตะเคียนทอง ปี2530 article