หางาน อย่างไรให้ได้งาน 7 วิธี น.ศ.จบใหม่ หางานให้ได้งาน
แนวทางก่อนเข้าการสมัครงาน หางาน ในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ
กูรูแนะ 7 วิธี น.ศ.จบใหม่ฝ่าวิกฤต
หางานอย่างไรให้ ได้งาน !!
ที่มา...http://www.matichon.co.th/prachachat/
|
วิกฤต เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่ลุกลามไปทั่วโลก
ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ในปี 2552
มีการคาดการณ์ว่าอัตราของคนว่างงานจะสูงกว่า 1 ล้านคนและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มถึง 2
ล้านคน ทั้งจากผู้ที่ถูกปลดออกจากงานและบัณฑิตจบใหม่ที่ไม่มีตำแหน่งงานรองรับ
เมื่องานดีๆ มีจำนวนจำกัด
การสมัครงานอย่างไรให้ได้งานจึงเป็นเรื่องที่หลายคนคิดหนักว่าจะเตรียม
ตัวอย่างไรให้เป็นที่ต้องการของนายจ้างโดยเฉพาะกับบัณฑิตจบใหม่ที่ต้องเจอ
ศึกหนักในปีนี้
การเกิดขึ้นของโปรแกรม "THE GRAD" ของบริษัทควอลิตี้โปรไฟล์
จะเป็นเหมือนตัวช่วยให้ผู้สมัครมีความมั่นใจในการสมัครงานและค้นพบศักยภาพ
ของตนเองได้ง่ายขึ้น
"คนส่วนใหญ่ที่สมัครงานแล้วไม่ได้งานก็เพราะไม่
รู้จักการเตรียมความพร้อม หรือคนรอบข้างที่เป็นที่ปรึกษาไม่ได้มีความรู้จริง
เราพยายามเป็นเหมือนโค้ชให้เด็กว่าทำอย่างไรให้เขาโดนใจนายจ้าง
สื่อให้ผู้จบการศึกษาใหม่เข้าใจ
ที่ผ่านมาไม่ได้นำเสนอความรู้ความสามารถที่จะทำให้บริษัทมั่นใจที่จะรับเข้า ทำงาน
เพราะบริษัทย่อมแสวงหาคนที่จะไปช่วยสร้างความเจริญเติบโตมากกว่าจะรับคนที่
มีแนวโน้มจะไม่สร้าง ผลงานเข้าทำงาน
ผู้สมัครงานที่อยากจะได้งานก็ต้องมองว่าตนเองสามารถให้อะไรกับองค์กรได้บ้าง
และเตรียมพร้อมให้ดี" ปิยะมิทน์ รังษีเทียนไชย กรรมการบริหารบริษัท ควอลิตี้โปรไฟล์
จำกัด กล่าว
นอกเหนือจากการมีโปรแกรมเป็นตัวช่วย แล้ว
สิ่งที่บัณฑิตควรรู้เพื่อเตรียมพร้อมเบื้องต้นก็ไม่ควรละเลย จากประสบการณ์กว่า 15
ปีของ "ปิยะมิทน์"
ที่ทำงานด้านการแนะแนวให้คำปรึกษาและสรรหาบุคลากรให้กับบริษัทชั้นนำ
และมองเห็นปัญหาของผู้สมัครงานมามากมายเขาได้แนะแนวทางก่อนเข้าการสมัครงาน
โดยสรุปได้ 7 ข้อต่อไปนี้
1.รู้จักตนเอง ว่ามีศักยภาพด้านไหน
รู้จุดอ่อนจุดแข็งของตนเองเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก
การรู้จักตนเองก็ต้องเริ่มจากการที่เราลองไล่ดูว่าเราต้องการอะไร อยากเป็นอะไร
คนส่วนใหญ่อาจจะไม่รู้จักตนเองเพราะใกล้ตัวเกินไปจึงไม่ใส่ใจ
ลองคิดดูว่าในระหว่างที่เรียนอยู่ในระดับอุดมศึกษาเราเรียนรู้อะไรมากขึ้น
จากตอนมัธยมบ้าง นั่นคือการมองย้อนไปดูประสบการณ์ที่เรามี
และต้องย้อนกลับมาถามตนเองว่า ถ้านายจ้างจะจ้างเรา
ทุกวันนี้ก็มีโปรแกรมมากมายที่จะช่วยทดสอบ
วิเคราะห์ความถนัดในแต่ละด้านหรือบุคลิกภาพของคน
2.รู้ความต้องการ ตลาด
ว่าต้องการคนแบบไหน มีอะไรที่เราสามารถไปสร้าง
ประโยชน์ให้กับบริษัทเหล่านั้นได้บ้าง จากนั้นค่อยกลับมาดูว่าเราสนใจงานด้านไหน
เมื่อหางานที่เราชอบได้ความกระตือรือร้นที่จะทำความรู้จักและพิชิตงานนั้น
ให้ได้ก็จะตามมา เหมือนเวลาเราไปชอบใครสักคนหนึ่ง
ก็ต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับคนคนนั้นให้มากที่สุดเพื่อที่จะชนะใจเขาให้ได้
3.
หาองค์กรที่เหมาะกับเรา เป็นใครก็คงต้องการทำงานอยู่ในองค์กรขนาดใหญ่และมั่นคง
จึงมีแห่คนไปสมัครจำนวนมากทั้งๆ ที่อาจไม่เหมาะกับตนเอง
ในตลาดยังมีองค์กรอีกมากมายที่ไม่ได้ต้องการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจึงไม่ได้
ต้องการคนที่เก่งที่สุด
เพราะการรับคนที่พร้อมจะเติบโตไปกับองค์กรจะสามารถสร้างประโยชน์ได้มากกว่า
ทั้งกับตัวองค์กรเองและคนทำงาน ในขณะที่คนที่มีความสามารถมากๆ
เข้าไปทำงานในองค์กรแบบนี้จะรู้สึกเบื่อหน่ายและเกิดปัญหากับองค์กร
4.
เตรียมตัวให้พร้อม เพื่อก้าวไปสู่
การเป็นมืออาชีพจะต้องเรียนรู้การพัฒนาบุคลิกภาพให้น่าสนใจและฝึกตนเองให้มี
คุณสมบัติเหล่านี้ คือ ขยัน อดทน ซื่อสัตย์ มีระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบ
รู้จักพึ่งพาตนเองและให้ความช่วยเหลือผู้อื่น
คุณสมบัติเหล่านี้จะช่วยทำให้เราก้าวไปสู่การมีทักษะในการทำงานร่วมกับผู้
อื่นได้
5.การนำเสนอข้อมูลส่วนบุคคล
การเขียนประวัติส่วนบุคคลหรือเรซูเม่อาจหาตัวอย่างได้ทั่วไป
แต่ทางที่ดีควรเขียนด้วยตนเองและเรซูเม่ก็ไม่ควรยาวเกินไปควรเขียนให้สั้น
และกระชับจบได้ภายใน 1 หน้า อธิบายเฉพาะเนื้อหาสำคัญ อย่างเช่น ประวัติการศึกษา
ประสบการณ์ที่ทำในระหว่างเรียน
หรือสิ่งที่เรียนมาเกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่สมัครอย่างไร
หากพิมพ์ด้วยโปรแกรมไมโครซอฟท์เวิร์ด
การเลือกใช้แบบตัวอักษรก็สามารถบ่งบอกถึงบุคลิกภาพหรือความสามารถของผู้ สมัครได้
จึงควรเลือกแบบตัวอักษรให้เหมาะสมกับตำแหน่งที่สมัครงาน
เมื่อเขียนเสร็จตรวจทานระวังอย่าให้มีข้อมูลที่ผิดพลาดอย่างปี พ.ศ.เกิด
เพราะอาจแสดงให้เห็นว่าเราไม่ใส่ใจในรายละเอียดเล็กน้อย
สุดท้ายอย่างลืมคัดเลือกรูปถ่ายที่ดูดีที่สุดเพราะบุคลิกภาพก็มีส่วนสำคัญใน
การรับคนเข้าทำงาน
6.กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน
ถ้าไม่กำหนดเป้าหมายในชีวิตของตนเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเดินไปถึงเป้า หมาย
นั่นสิ่งที่หลายคนลืมที่จะวางแผนเส้นทางชีวิตของตนเอง
พอเราได้รับการบรรจุงานก็จะคิดว่านายจ้างเป็นคนกำหนดการก้าวไปสู่ตำแหน่งที่
ใหญ่โตขึ้น แต่จริงๆ แล้วคือตัวเราเองที่ต้องมองว่างานของเรามีพัฒนาการไปถึงไหน
มีประสบการณ์พอแล้วหรือยัง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมีระยะเวลาเป็นตัวกำหนด
เราต้องวางแผนว่ากี่ปีเราจะก้าวไปสู่ผู้เชี่ยวชาญ มืออาชีพ และก้าวไปสู่ผู้บริหาร
เมื่อรู้ระยะทางก็จะถึงจุดหมายเร็ว หากเดินเป็นเส้นตรงก็จะถึงเร็ว
แต่ปัญหาของคนคือจะมี
สิ่งเร้าเข้ามาทำให้เดินหลงทางจนต้องใช้เวลานานกว่าจะประสบความสำเร็จใน ชีวิต
ถ้าเราวางแผนชีวิตและรู้ศักยภาพตนเอง
แม้นายจ้างมองไม่เห็นเราก็สามารถเปลี่ยนไปสมัครงานในตำแหน่งที่สูงกว่าได้
7.
พัฒนาตนเองอยู่เสมอ เมื่อมีการวางเป้าหมายของชีวิต
การพัฒนาตนเองจะทำให้เราก้าวไปสู่จุดที่มุ่งหมายได้
ไม่ว่าจะเป็นการรู้จักการจูงใจผู้อื่น มีความสามารถในการนำเสนอผลงาน จัดการประชุม
การเจรจาต่อรอง และมีวิสัยทัศน์ทางธุรกิจ
รู้ว่าจะจัดการองค์กรอย่างไรให้เจริญเติบโตก้าวหน้า เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม
ทักษะเหล่านี้จะทำให้ก้าวไปสู่การเป็นผู้บริหารที่ดีในอนาคต
แม้เศรษฐกิจจะตกต่ำ
แต่โอกาสยังเปิดรับให้กับคนที่พร้อมเสมอ
|